ทางสาธารณะ
ที่ดินปัจจุบันเป็นบ้านของแม่ เป็นที่ได้รับมรดกมาจากตา ยาย ขณะนี้แม่มีอายุ 83 ปี เกิดและอยู่อาศัยที่นี่ไม่เคยได้ย้ายไปไหน เดิมที่ดินแปลงนี้เป็นโฉนดใบใหญ่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 9 คน (เพื่อนบ้าน) ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2526 ได้มีการขอแยกโฉนดแบ่งตามกรรมสิทธิ์ผู้มีรายชื่อร่วมในโฉนด ด้วยความดีใจได้โฉนดเป็นของตัวเอง ณ ตอนนั้น ปรากฎว่าที่ดินที่เป็นบ้านของแม่ในปัจจุบันทางด้านทิศเหนือถูกตัดแบ่งเป็นทางสาธารณะ(ทางสาธารณะ 2 ตามโฉนด) ซึ่งในตอนนั้นก็ไม่ได้มีใครโต้แย้งแต่อย่างใด เนื่องจากบ้านของแม่เป็นบ้านสุดท้ายในซอยนั้น(ทางตัน) จึงได้ทำประตูปิดเพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนเอง และได้ใช้มาเป็นเวลานานกว่า 40 ปีแล้ว และได้มีการซ่อมแซมตามสภาพ ปัจจุบันมีประตูบ้านแม่อยู่ตรงกลางซึ่งเป็นถนนสุด (โฉนดแสดงทางสาธารณะ 1) ด้านซ้ายและด้านขาวก็มีประตูของเพื่อนบ้านเช่นกัน ต่อมาเมื่อประมาณปี 2543 เจ้าของที่ดินแปลงที่อยู่ต่อจากที่ดินของแม่ซึ่งเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งปลูกสร้าง เป็นที่ดินที่ไม่ได้ใช้ทำประโยชน์มาเป็น 100 ปี (แม่เล่าให้ฟัง) ปัจจุบันยังคงเป็นที่รกร้างอยู่ เจ้าของที่ดินดังกล่าวได้ไปร้องขอกับ อบต.ส่วนงานรับผิดชอบให้ไปสำรวจและทำการรังวัดตรวจสอบทางสาธารณะ (ทางสาธารณะส่วนที่ 2 ในโฉนดจะโยงเชื่อมกันกับทางสาธารณะ 1 ที่เป็นถนนเข้ามาสุดที่บ้านของแม่พอดี) ซึ่งแต่เดิมทางสาธารณะ 2 จนถึงปัจจุบันเป็นร่องน้ำเล็ก ๆ ปรากฎว่า อบต. ในส่วนงานรับผิดชอบมีมติไม่เปิดใช้ทางสาธารณะดังกล่าว แม่ก็เลยไม่ได้สนใจอีกคิดว่าเสร็จเรื่องไปตั้งแต่ตอนนั้น ต่อมาเมื่อมีนาคม 2550 แม่ได้รับหมายศาลและตกเป็นจำเลย คดีขอเปิดใช้ทางสาธารณะ (ส่วนที่2) ที่คิดว่าเสร็จเรื่องไปแล้ว แม่มอบอำนาจให้ดิฉันไปแทนเนื่องจากแม่เครียดมาก และสุขภาพไม่ดีนัก ดิฉันก็ไปตามศาลนัด ปรากฏว่าโจทก์ไม่ไปแถมทนายโจทก์ยังไปไม่ตรงเวลาอีก ศาลก็พยายามจะให้ไกล่เกลี่ย (ขอเรียนให้ทราบว่าโจทก์ไม่เคยพูดคุย หรือเจรจาเรื่องขอใช้ทางสาธารณะนี้เลย มีแต่ใช้เจ้าหน้าที่ และชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธเข้ามาตัดต้นไม้ในบ้าน ดิฉันบอกว่าถ้าไม่ออกไปจะแจ้งความพวกเหล่านั้นจึงออกไป)
สรุปวันนั้นศาลออกหนังสือให้ที่ดินไปทำการรังวัดใหม่ ปรากฎว่าทางสาธารณะเกินเข้ามาในเขตประตูของแม่ ประมาณศอกเศษ ๆ แนวเฉลียงซึ่งทางสาธารณะที่ 2 ส่วนใหญ่ไปอยู่ในเขตประตูเพื่อนบ้านข้างซ้าย หัวหน้ารังวัดที่ดินยังบอกว่าโจทก์ฟ้องบ้านผิด หน้าจะฟ้องบ้านข้างซ้ายมากกว่า แม่ไม่ได้มีเจตนาทำประตูปิดกั้นทางสาธารณะตามคำฟ้อง แต่ถนนมาสุดตรงนั้นพอดีตามอธิบายข้างต้น นอกจากนั้นโจทก์ยังฟ้องความเท็จว่าโจทก์และบริวารใช้รถยนต์เดินทางเข้า-ออก ในเส้นทางสาธารณะส่วนที่ 2 มาเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นร่องน้ำอยู่เหมือนเดิม สามารถตรวจสอบได้ และสอบถามจากผู้คนในหมูบ้านได้ว่า โจทก์ไม่เคยได้ใช้เส้นทางดังกล่าวเลย เนื่องจากที่ดินของโจทก์เป็นที่รกร้างตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (ตรวจสอบได้เช่นกัน)
จึงขอเรียนปรึกษาดังนี้:-
1. ฟ้องคนแก่อายุ 83 ปี ได้หรือไม่ ถ้าแม่ไม่มีลูกรับมอบอำนาจไปให้ข้อเท็จจริงต่อศาล ก็ต้องเป็นไปตามข้อกล่าวหาของโจทก์หรือไม่
2. แม่ไม่ได้มีเจตนาทำประตูปิดกั้นทางสาธารณะที่ 1 ซึ่งเชื่อมติดกันกับทางสาธารณะที่ 2 แต่เป็นถนนมาสุดพอดี จำเป็นต้องทำประตูเพื่อป้องกันทรัพย์สิน จะขอใช้ประตูตามเดิมได้หรือไม่ เพราะทางสาธารณะส่วนใหญ่ไปอยู่กับประตูด้านซ้ายของเพื่อนบ้าน ซึ่งใช้รถยนต์เข้า- ออก ได้ และทราบมาว่า เพื่อนบ้านได้เซ็นต์ยินยอมให้ใช้ทางนั้นได้
3. แม่เป็นคนบริจาคที่ ที่เป็นทางสาธารณะ 2 ดังกล่าว แต่คนจะมาใช้กลับมาฟ้องเจ้าของที่ จะขอความเป็นธรรมกับศาลได้ไหมคะ
4. ข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นจริง ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่า โจทก์และบริวารใช้รถยนต์เดินทางเข้า-ออก ในเส้นทางสาธารณะส่วนที่ 2 มาเป็นเวลากว่า 50 ฟ้องกลับได้ไหมคะ
5. สามารถชดใช้เป็นเงิน ที่ดินส่วนที่เกินเข้ามาในประตูแม่ ประมาณศอกเศษ ๆ ได้หรือไม่คะ
6. ขอคำแนะนำเพิ่มเติมด้วยคะ
กรุณาตอบด่วน ขอบพระคุณอย่างสูง |