สวัสดีค่ะ ท่านมีชัยที่เคารพอย่างสูง
ดิฉันขอเรียนถามท่านฯ ถึงปัญหาดังนี้ค่ะ ดิฉันเป็นหม้ายและแต่งงานใหม่เมื่อประมาณปี 44 ดิฉันได้จดทะเบียนสมรสกัน อยู่มาได้ประมาณ 2 เดือนเศษ สามีและดิฉันได้รับหนังสือทวงหนี้และให้ไปชำระหนี้ที่สหกรณ์การเกษตรประจำอำเภอว่าให้สามีนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 240000 บาท ไปชำระภายใน 30 วันหลังจากได้รับหนังสือฉบับนี้ มิฉะนั้นทางสหกรณ์จะดำเนินการฟ้องและบังคับคดียึดขายทอดตลาดค่ะ หนูจึงได้ปรึกษาพ่อและญาติสามีว่าจะทำอย่างไรดี ทางญาติๆ เค้าก็บอกว่าให้ดิฉันช่วยหาเงินให้หน่อยเพื่อนำไปให้สามีเอาไปชำระไถ่ที่ดินกับสหกรณ์เสียก่อนแล้วจะขายที่ดินแปลงนั้นทีหลัง เพื่อนำเงินมาคืนให้แก่ดิฉันภายใน 5 เดือนข้างหน้านี้ ดิฉันก็สามารถไปยืมเงินจากบุคคลภายนอกมาได้ตามจำนวนหนี้ของสหกรณ์ค่ะ แต่ก่อนที่ดิฉันจะส่งเงินให้สามีนั้น ดิฉันให้สามีเขียนหนังสือสัญญาเงินกู้ไว้ให้ดิฉันหนึ่งฉบับค่ะ ระบุในสัญญาว่า ได้กู้ยืมเงินดิฉันไปจำนวน 240000บาท และจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี หากไม่สามารถนำเงินมาชำระตามกำหนดได้ ยินยอมยกที่ดินแปลงที่ยืมเงินไปไถ่ถอนมาให้เป็นของดิฉันครึ่งหนึ่ง (แทนเงินสด และเป็นเงินสดพร้อมดอกเบี้ยเต็มจำนวนอีกครึ่งหนึ่งค่ะ) ในวันที่สามีนำเงินไปชำระที่สหกรณ์และไถ่ถอนที่ดินออกจากสหกรร์ดิฉันก็ไปด้วย และเป็นคนส่งเงินให้เจ้าหน้าที่และนั่งนับเงินกับเจ้าหน้าที่ด้วยกัน (ไปในฐานะภรรยาและเจ้าของเงินค่ะ) หลังจากไถ่ถอนที่ดินออกมาจากสหกรณ์แล้ว ดิฉันก็เก็นโฉนดไว้ได้ประมาณ 1 เดือนกว่าๆ สามีได้รับหมายฟ้องจากศาลในข้อหา ขอแบ่งสินส่วนตัวและสินสมรสและค่าเลี้ยงดูบุตรค่ะ (จากภรรยาเก่าของสามี) สามีก็ไปขึ้นศาล และชี้แจงศาลว่ามีทรัพย์อะไรบ้าง และมีหนี้สินอะไรบ้าง สรุปว่าศาลพิพากษาตัดสินให้ ทั้งสอง (สามีและภรรยาเก่า) ร่วมกันชำระหนี้ 240000 บาท ฝ่ายละครึ่ง ส่วนทรัพย์มีจำนวนเท่าใด ก็ให้แบ่งฝ่ายละครึ่งเช่นกัน และค่าเลี้ยงดูบุตรก็จ่ายตามอายุ........ จบค่ะ สามีและภรรยาเก่าไม่อุทรณ์ค่ะ คดีสิ้นสุด ดิฉันก็เฉยเพราะไม่รู้จะไปเอาหนี้ที่ใครดี ทำไม่ถูก ก็อยู่เฉยเพราะที่ดินเป็นชื่อของสามี หากสามีจะทำอะไรกับที่ดินแปลงนั้นดิฉันย่อมทราบเพราะอยู่ด้วยกัน ก็เลยเฉยๆๆๆ จนกระทั่งประมาณกลางเดือนสามีต้องไปขึ้นศาล (เป็นโจทก์) ฟ้องภรรยาเก่าในข้อหาภรรยาเก่าลักทรัพย์ (รถยนต์ไป 15 วัน ตามใบแจ้งความของโรงพัก) ปรากฎว่าฝ่ายสามีมีอัยการเป็นโจทก์ พอถึงวันที่ศาลนัดฝ่ายอัยการก็มาบอกกับสามีในห้องไกล่เกลี่ยว่า ยอมๆ หยุดๆ กันเถอะ เราเป็นผู้ชาย...ไหนๆ ก็ได้รถยนต์กลับมาแล้วฝ่ายชายก็เออ..ออห่อหมกด้วยเพราะเห็นเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน ก็จบเรื่อง สรุปศาลพิพากษาว่าภรรยาเก่าไม่มีเจตนาลักทรัพย์ แต่เห็นว่าเป็นทรัพย์ที่เคยใช้ด้วยกันจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์ ฝ่ายภรรยาก็พอศาลตัดสินอย่างนั้นก็ฟ้องกลับสามี(ในเดือนต่อมา) ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานสอบสวนค่ะ และเรียกเงินค่าเสียหาย 100000 บาท สามีจึงตกเป็นจำเลยต่อไป.... ในระหว่างนั้นเอง ในเมื่อดิฉันเห็นท่าทางไม่ดีแล้ว (ในเรื่องทรัพย์สิน) ก็สามีและภรรยาเก่าเค้าเฉยไม่นำเงินมาชำระดิฉันตามสัญญาที่กู้ไป และระยะเวลาก็ครบปีแล้ว ดิฉันจึงฟ้องสามีในข้อหาผิดสัญญาเงินกู้ ศาลตัดสินพิพากษาให้สามีชำระตามสัญญาค่ะ แต่สามีก็ไม่ได้ชำระดิฉันจึงยึดที่ดินของสามีออกขายทอดตลาด หลังจากสามีขึ้นศาลคดีแจ้งความเท็จ (ตกเป็นจำเลย) สามีนำที่ดินที่ไถ่ถอนออกมาตอนแรกนั้นไปจำนองไว้กับธนาคารฯ ค่ะ เพราะสามีต้องการเงินมาใช้จ่ายเกี่ยวกับคดีค่ะ ต่อมาหลังจากที่ดิฉันฟ้องสามีในข้อหาผิดสัญญาเงินกู้นั้น ฝ่ายภรนรยาเก่าทราบเข้าก็ฟ้องดิฉันกับสามีในข้อหาโกงเจ้าหนี้ (เพราะศาลเยาวชนฯ รายละเอียดด้านบน พิพากษาว่าให้ทั้งสองร่วมชำระหนี้และแบ่งทรัพย์กันฝ่ายละครึ่ง) ภรรยาเก่าเค้าบอกว่าดิฉันกับสามีแกล้งทำสัญญาให้เป็นหนี้กัน เพื่อมิให้เค้าได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่ควรได้รับ ศาลสั่งมีมูล ต่อมาถึงคิวขึ้นศาลของสามีในข้อหาแจ้งความเท็จของภรรยาเก่านั้น ปรากฎว่าสามีได้ทำสัญญายอมกันในศาลว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดแทน (หนี้สมรสของเค้าทั้งสอง) และจะให้เงิน 100000 บาท (ไม่รู้ว่าความออกมาอย่างนี้ได้อย่างไร) เพราะวันนั้นดิฉันติดธุระไม่ได้ไปศาลด้วย ประกอบกับสามีเป็นคนซื่อๆ อะไรก็ได้ ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย เซ็นๆ ไปหมด แถมยังดีที่สามีต่อรองว่าถ้างั้นให้ทั้งสองฝ่ายยุติกันและถอนคดี้ฟ้องร้องกันทั้งหมด ตกลงตามนี้ กลับมาดิฉันยังไม่เห็นคำพพิหากษาก็ฟังๆ เฉยๆ แต่พอได้คำพิพากษาแล้ว เกือบเป็นลมแน่นอกไปหมดว่าทำไม่คดีออกมารูปแบบนี้ ทำไมศาลไม่ให้ความยุติธรรมเสียเลยกับคนเซ่อๆ อย่างสามี สรุปว่าคดีที่ดิฉันกับสามีโดนฟ้องข้อหาโกงเจ้าหนี้นั้นก็ถูกถอนไปด้วยเลย ซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวดิฉันเลย ไม่รู้ไม่เห็น เพราะโจทก์ที่ 1 คือสามีที่ไปทำความตกลงกัยเองในสัญญายอม ก็โอเคสรุปดิฉันฟ้องกลับภรรยาเก่าของเค้าในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ (ก็ที่ฟ้องว่าดิฉันกับสามีร่วมกันทำสัญญาปลอมสร้างหนี้ไม่จริงขึ้นมาเพื่อให้เค้าไม่ได้รับชำระหนี้หรือได้รับแต่เพียงบางส่วนตามคำพิพากษา) ปรากฏว่าศาลยกฟ้องโดยให้เหตุฟผลว่ามูลหนี้ระหว่างดิฉันกับสามีนั้นมีอยู่จริงตามสัญญาเงินกู้ แต่จำเลย (ภรรยาเก่า) ไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้ง (ฟ้อง) ดิฉันกับสามี เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าแกล้งทำหนี้กันจริง ขณะนี้ดิฉันอุทรณ์อยู่ ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้ ฝ่ายภรรยาเก่าของเค้าก็ไม่ได้รับเงินตามสัญญายอมที่ทำกันไว้น่ะค่ะ ก็จึงยึดที่ดินที่ดิฉันให้สามียืมเงินไปไถ่ค่ะ ดิฉันจึงเข้าไปกันส่วน เพราะเห็นว่าที่ดินแปลงนั้นจะต้องเป็นของดิฉันครึ่งหนึ่ง (แทนการชำระหนี้ครึ่งหนึ่งที่กู้ไป) และอีกครึ่งหนึ่งคือตามที่ดิฉันฟ้องสามีแล้วศาลพิพากษาแล้วค่ะ เพราะที่ดินแปลงนี้ต้องเป็นของดิฉันครึ่งหนึ่งตามสัญญาเงินกู้ที่ว่า จะชำระหนี้ให้จำนวนหนึ่ง และยกที่ดินให้ครึ่งหนึ่ง (แทนเงินสด) ปรากฏว่าศาลพิพากษายกคำร้องของดิฉันให้เหตุผลว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของสามีได้มาโดยบิดายกให้ ส่วนหนี้ที่ทั้งสอง (สามีและภรรยาเก่า) เป็นอีกเรื่องหนึ่งให้ไปตามเอาเอง และบ้านที่ดิฉันสร้างบนที่ดินแปลงนี้และที่ดินที่ดินฉันครองครองอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นให้ขายทอดตลาดทั้งสิ้น แล้วค่อนนำเงินมาหักส่วนของดิฉันออก ดิฉันจึงอุทรณ์ค่ะ (ขณะนี้) ออ...ปัจจุบันหนี้ดิฉันหย่าขาดๆๆๆ จากสามีได้ 8 เดือนแล้วค่ะ โดนดิฉันให้เค้าส่งเสียเงินให้แก่ลูกๆ และดิฉันขอสินส่วนตัวของดิฉันคืนค่ะ .....เราอยู่ไม่ได้ เค้าเป็นคนดีก็จริง..แต่ดิฉันรับไม่ได้ค่ะ...คิดว่าอยู่คนเดียวดีกว่า อยู่กับลูกๆ ดีกว่า ก่อนแต่งงานกับสามีก็เป็นหม้ายมา 5 ปี หน้าที่การงานก็ดี ฐานะก็ดี ไม่โดนใครฟ้องให้เป็นปัญหาอย่างตอนแต่งงานเลยค่ะ จึงหย่าดีกว่าค่ะ ดีที่สุด... ดิฉันต้องกราบขอโทษท่านฯ มีชัยเป็นอย่างยิ่งที่ เล่าเรียงมาเสียยืดยาวขนาดนี้ แต่ถ้าไม่บอกความจริงต่อท่านฯ แล้ว ท่านฯ ก็ตอบหรือแนะนำดิฉันไม่ครบถ้วนอีก ดิฉันก็ไม่เข้าใจอีก กลายเป็นต้องถามๆ กันใหม่อีก ....รบกวนท่านฯ อีก............... ดิฉันจะเริ่มถามดังนี้ค่ะ1.จากเรื่องทั้งหมด ดิฉันควรทำอย่างไรต่อค่ะ เพื่อให้ได้เงินที่เค้ายืมไปกลับมา หรือ 2.ให้ดิฉันได้เป็นที่ดินก็ยังดีตามสัญญาเงินกู้ 3.ดิฉันอยากจะให้ฝ่ายภรรยาเก่าของสามีมาร่วมรับผิดชอบในหนี้สินอันนี้ด้วยต้องทำอย่างไรค่ะ หรือดิฉันจะต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ทั้ง 2 คนในคดีอาญา ข้อหาฉ้อโกง หรือโกงเจ้าหนี้ได้มั๊ยค่ะ หรือไม่ต้องฟ้องแล้ว... หรือท่านฯ ว่าอย่างไรบ้างค่ะช่วยแนะนำดิฉันด้วย ตอนนี้ดิฉันไม่ได้ทั้งหนี้ที่ให้ยืมคืนและที่ดินที่ตกลงว่าจะให้ดิฉันแทนหนี้ก็ไม่ได้ ดิฉันขอกราบเรียนท่านฯ ช่วยกรุณาแนะนำดิฉันด้วยค่ะ จะเป็นแนวทางและวิถีทางให้ดิฉันได้ป็นอย่างดีค่ะและดิฉันจะเดินต่อไปเพื่อให้ได้เงินคืนตามสัญญาค่ะ กราบขอบพระคุณท่านฯ เป็นอย่างสูงค่ะ
จาก อุบลรัตน์
เรียน คุณอุบลรัตน์
เรื่องที่เล่ามามีข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างจะสับสน ผมเห็นว่าทางที่ดีควรปรึกษาทนายความ เพื่อเขาจะได้สอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง ก่อนที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด และควรรีบปรึกษากับทนายความโดยเร็ว เพราะอาจมีปัญหาเรื่องอายุความได้