ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    021430 ขอคำแนะนำว่าต้องทำอย่างไรคุณอุบลรัตน์19 เมษายน 2550

    คำถาม
    ขอคำแนะนำว่าต้องทำอย่างไร

    สวัสดีค่ะ  ท่านมีชัยที่เคารพอย่างสูง

       ดิฉันขอเรียนถามท่านฯ ถึงปัญหาดังนี้ค่ะ  ดิฉันเป็นหม้ายและแต่งงานใหม่เมื่อประมาณปี 44  ดิฉันได้จดทะเบียนสมรสกัน  อยู่มาได้ประมาณ 2 เดือนเศษ สามีและดิฉันได้รับหนังสือทวงหนี้และให้ไปชำระหนี้ที่สหกรณ์การเกษตรประจำอำเภอว่าให้สามีนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน  240000 บาท ไปชำระภายใน  30 วันหลังจากได้รับหนังสือฉบับนี้  มิฉะนั้นทางสหกรณ์จะดำเนินการฟ้องและบังคับคดียึดขายทอดตลาดค่ะ  หนูจึงได้ปรึกษาพ่อและญาติสามีว่าจะทำอย่างไรดี  ทางญาติๆ  เค้าก็บอกว่าให้ดิฉันช่วยหาเงินให้หน่อยเพื่อนำไปให้สามีเอาไปชำระไถ่ที่ดินกับสหกรณ์เสียก่อนแล้วจะขายที่ดินแปลงนั้นทีหลัง  เพื่อนำเงินมาคืนให้แก่ดิฉันภายใน 5 เดือนข้างหน้านี้   ดิฉันก็สามารถไปยืมเงินจากบุคคลภายนอกมาได้ตามจำนวนหนี้ของสหกรณ์ค่ะ  แต่ก่อนที่ดิฉันจะส่งเงินให้สามีนั้น  ดิฉันให้สามีเขียนหนังสือสัญญาเงินกู้ไว้ให้ดิฉันหนึ่งฉบับค่ะ  ระบุในสัญญาว่า ได้กู้ยืมเงินดิฉันไปจำนวน 240000บาท และจะชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 1 ปี หากไม่สามารถนำเงินมาชำระตามกำหนดได้  ยินยอมยกที่ดินแปลงที่ยืมเงินไปไถ่ถอนมาให้เป็นของดิฉันครึ่งหนึ่ง (แทนเงินสด  และเป็นเงินสดพร้อมดอกเบี้ยเต็มจำนวนอีกครึ่งหนึ่งค่ะ)  ในวันที่สามีนำเงินไปชำระที่สหกรณ์และไถ่ถอนที่ดินออกจากสหกรร์ดิฉันก็ไปด้วย และเป็นคนส่งเงินให้เจ้าหน้าที่และนั่งนับเงินกับเจ้าหน้าที่ด้วยกัน (ไปในฐานะภรรยาและเจ้าของเงินค่ะ)   หลังจากไถ่ถอนที่ดินออกมาจากสหกรณ์แล้ว  ดิฉันก็เก็นโฉนดไว้ได้ประมาณ  1 เดือนกว่าๆ  สามีได้รับหมายฟ้องจากศาลในข้อหา ขอแบ่งสินส่วนตัวและสินสมรสและค่าเลี้ยงดูบุตรค่ะ  (จากภรรยาเก่าของสามี)  สามีก็ไปขึ้นศาล และชี้แจงศาลว่ามีทรัพย์อะไรบ้าง และมีหนี้สินอะไรบ้าง  สรุปว่าศาลพิพากษาตัดสินให้  ทั้งสอง (สามีและภรรยาเก่า) ร่วมกันชำระหนี้  240000 บาท ฝ่ายละครึ่ง  ส่วนทรัพย์มีจำนวนเท่าใด ก็ให้แบ่งฝ่ายละครึ่งเช่นกัน  และค่าเลี้ยงดูบุตรก็จ่ายตามอายุ........  จบค่ะ  สามีและภรรยาเก่าไม่อุทรณ์ค่ะ  คดีสิ้นสุด  ดิฉันก็เฉยเพราะไม่รู้จะไปเอาหนี้ที่ใครดี  ทำไม่ถูก  ก็อยู่เฉยเพราะที่ดินเป็นชื่อของสามี  หากสามีจะทำอะไรกับที่ดินแปลงนั้นดิฉันย่อมทราบเพราะอยู่ด้วยกัน  ก็เลยเฉยๆๆๆ   จนกระทั่งประมาณกลางเดือนสามีต้องไปขึ้นศาล (เป็นโจทก์)  ฟ้องภรรยาเก่าในข้อหาภรรยาเก่าลักทรัพย์ (รถยนต์ไป  15 วัน ตามใบแจ้งความของโรงพัก) ปรากฎว่าฝ่ายสามีมีอัยการเป็นโจทก์  พอถึงวันที่ศาลนัดฝ่ายอัยการก็มาบอกกับสามีในห้องไกล่เกลี่ยว่า  ยอมๆ หยุดๆ กันเถอะ  เราเป็นผู้ชาย...ไหนๆ ก็ได้รถยนต์กลับมาแล้วฝ่ายชายก็เออ..ออห่อหมกด้วยเพราะเห็นเป็นผู้ใหญ่ด้วยกัน  ก็จบเรื่อง  สรุปศาลพิพากษาว่าภรรยาเก่าไม่มีเจตนาลักทรัพย์  แต่เห็นว่าเป็นทรัพย์ที่เคยใช้ด้วยกันจึงไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์   ฝ่ายภรรยาก็พอศาลตัดสินอย่างนั้นก็ฟ้องกลับสามี(ในเดือนต่อมา) ในข้อหาแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานสอบสวนค่ะ  และเรียกเงินค่าเสียหาย  100000 บาท  สามีจึงตกเป็นจำเลยต่อไป....  ในระหว่างนั้นเอง  ในเมื่อดิฉันเห็นท่าทางไม่ดีแล้ว (ในเรื่องทรัพย์สิน) ก็สามีและภรรยาเก่าเค้าเฉยไม่นำเงินมาชำระดิฉันตามสัญญาที่กู้ไป  และระยะเวลาก็ครบปีแล้ว  ดิฉันจึงฟ้องสามีในข้อหาผิดสัญญาเงินกู้  ศาลตัดสินพิพากษาให้สามีชำระตามสัญญาค่ะ  แต่สามีก็ไม่ได้ชำระดิฉันจึงยึดที่ดินของสามีออกขายทอดตลาด  หลังจากสามีขึ้นศาลคดีแจ้งความเท็จ (ตกเป็นจำเลย)  สามีนำที่ดินที่ไถ่ถอนออกมาตอนแรกนั้นไปจำนองไว้กับธนาคารฯ ค่ะ  เพราะสามีต้องการเงินมาใช้จ่ายเกี่ยวกับคดีค่ะ    ต่อมาหลังจากที่ดิฉันฟ้องสามีในข้อหาผิดสัญญาเงินกู้นั้น  ฝ่ายภรนรยาเก่าทราบเข้าก็ฟ้องดิฉันกับสามีในข้อหาโกงเจ้าหนี้  (เพราะศาลเยาวชนฯ รายละเอียดด้านบน  พิพากษาว่าให้ทั้งสองร่วมชำระหนี้และแบ่งทรัพย์กันฝ่ายละครึ่ง)  ภรรยาเก่าเค้าบอกว่าดิฉันกับสามีแกล้งทำสัญญาให้เป็นหนี้กัน  เพื่อมิให้เค้าได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าที่ควรได้รับ   ศาลสั่งมีมูล  ต่อมาถึงคิวขึ้นศาลของสามีในข้อหาแจ้งความเท็จของภรรยาเก่านั้น  ปรากฎว่าสามีได้ทำสัญญายอมกันในศาลว่าจะชำระหนี้ทั้งหมดแทน (หนี้สมรสของเค้าทั้งสอง) และจะให้เงิน 100000 บาท  (ไม่รู้ว่าความออกมาอย่างนี้ได้อย่างไร)  เพราะวันนั้นดิฉันติดธุระไม่ได้ไปศาลด้วย  ประกอบกับสามีเป็นคนซื่อๆ  อะไรก็ได้  ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลย เซ็นๆ ไปหมด  แถมยังดีที่สามีต่อรองว่าถ้างั้นให้ทั้งสองฝ่ายยุติกันและถอนคดี้ฟ้องร้องกันทั้งหมด  ตกลงตามนี้  กลับมาดิฉันยังไม่เห็นคำพพิหากษาก็ฟังๆ  เฉยๆ   แต่พอได้คำพิพากษาแล้ว  เกือบเป็นลมแน่นอกไปหมดว่าทำไม่คดีออกมารูปแบบนี้  ทำไมศาลไม่ให้ความยุติธรรมเสียเลยกับคนเซ่อๆ  อย่างสามี    สรุปว่าคดีที่ดิฉันกับสามีโดนฟ้องข้อหาโกงเจ้าหนี้นั้นก็ถูกถอนไปด้วยเลย  ซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวดิฉันเลย  ไม่รู้ไม่เห็น เพราะโจทก์ที่ 1 คือสามีที่ไปทำความตกลงกัยเองในสัญญายอม  ก็โอเคสรุปดิฉันฟ้องกลับภรรยาเก่าของเค้าในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ (ก็ที่ฟ้องว่าดิฉันกับสามีร่วมกันทำสัญญาปลอมสร้างหนี้ไม่จริงขึ้นมาเพื่อให้เค้าไม่ได้รับชำระหนี้หรือได้รับแต่เพียงบางส่วนตามคำพิพากษา)   ปรากฏว่าศาลยกฟ้องโดยให้เหตุฟผลว่ามูลหนี้ระหว่างดิฉันกับสามีนั้นมีอยู่จริงตามสัญญาเงินกู้  แต่จำเลย (ภรรยาเก่า) ไม่มีเจตนาจะกลั่นแกล้ง (ฟ้อง) ดิฉันกับสามี เพราะเชื่อโดยสุจริตว่าแกล้งทำหนี้กันจริง  ขณะนี้ดิฉันอุทรณ์อยู่  ต่อมาเมื่อเร็วๆ นี้  ฝ่ายภรรยาเก่าของเค้าก็ไม่ได้รับเงินตามสัญญายอมที่ทำกันไว้น่ะค่ะ  ก็จึงยึดที่ดินที่ดิฉันให้สามียืมเงินไปไถ่ค่ะ  ดิฉันจึงเข้าไปกันส่วน เพราะเห็นว่าที่ดินแปลงนั้นจะต้องเป็นของดิฉันครึ่งหนึ่ง  (แทนการชำระหนี้ครึ่งหนึ่งที่กู้ไป) และอีกครึ่งหนึ่งคือตามที่ดิฉันฟ้องสามีแล้วศาลพิพากษาแล้วค่ะ เพราะที่ดินแปลงนี้ต้องเป็นของดิฉันครึ่งหนึ่งตามสัญญาเงินกู้ที่ว่า จะชำระหนี้ให้จำนวนหนึ่ง และยกที่ดินให้ครึ่งหนึ่ง (แทนเงินสด)  ปรากฏว่าศาลพิพากษายกคำร้องของดิฉันให้เหตุผลว่าที่ดินแปลงนี้เป็นของสามีได้มาโดยบิดายกให้  ส่วนหนี้ที่ทั้งสอง (สามีและภรรยาเก่า) เป็นอีกเรื่องหนึ่งให้ไปตามเอาเอง และบ้านที่ดิฉันสร้างบนที่ดินแปลงนี้และที่ดินที่ดินฉันครองครองอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นให้ขายทอดตลาดทั้งสิ้น  แล้วค่อนนำเงินมาหักส่วนของดิฉันออก    ดิฉันจึงอุทรณ์ค่ะ (ขณะนี้) ออ...ปัจจุบันหนี้ดิฉันหย่าขาดๆๆๆ จากสามีได้ 8 เดือนแล้วค่ะ โดนดิฉันให้เค้าส่งเสียเงินให้แก่ลูกๆ และดิฉันขอสินส่วนตัวของดิฉันคืนค่ะ  .....เราอยู่ไม่ได้  เค้าเป็นคนดีก็จริง..แต่ดิฉันรับไม่ได้ค่ะ...คิดว่าอยู่คนเดียวดีกว่า อยู่กับลูกๆ ดีกว่า  ก่อนแต่งงานกับสามีก็เป็นหม้ายมา 5 ปี  หน้าที่การงานก็ดี  ฐานะก็ดี  ไม่โดนใครฟ้องให้เป็นปัญหาอย่างตอนแต่งงานเลยค่ะ  จึงหย่าดีกว่าค่ะ  ดีที่สุด...  ดิฉันต้องกราบขอโทษท่านฯ มีชัยเป็นอย่างยิ่งที่ เล่าเรียงมาเสียยืดยาวขนาดนี้  แต่ถ้าไม่บอกความจริงต่อท่านฯ แล้ว  ท่านฯ ก็ตอบหรือแนะนำดิฉันไม่ครบถ้วนอีก  ดิฉันก็ไม่เข้าใจอีก กลายเป็นต้องถามๆ  กันใหม่อีก  ....รบกวนท่านฯ อีก...............  ดิฉันจะเริ่มถามดังนี้ค่ะ1.จากเรื่องทั้งหมด  ดิฉันควรทำอย่างไรต่อค่ะ  เพื่อให้ได้เงินที่เค้ายืมไปกลับมา หรือ 2.ให้ดิฉันได้เป็นที่ดินก็ยังดีตามสัญญาเงินกู้  3.ดิฉันอยากจะให้ฝ่ายภรรยาเก่าของสามีมาร่วมรับผิดชอบในหนี้สินอันนี้ด้วยต้องทำอย่างไรค่ะ  หรือดิฉันจะต้องฟ้องเป็นคดีใหม่ทั้ง 2 คนในคดีอาญา ข้อหาฉ้อโกง หรือโกงเจ้าหนี้ได้มั๊ยค่ะ  หรือไม่ต้องฟ้องแล้ว... หรือท่านฯ ว่าอย่างไรบ้างค่ะช่วยแนะนำดิฉันด้วย  ตอนนี้ดิฉันไม่ได้ทั้งหนี้ที่ให้ยืมคืนและที่ดินที่ตกลงว่าจะให้ดิฉันแทนหนี้ก็ไม่ได้  ดิฉันขอกราบเรียนท่านฯ  ช่วยกรุณาแนะนำดิฉันด้วยค่ะ  จะเป็นแนวทางและวิถีทางให้ดิฉันได้ป็นอย่างดีค่ะและดิฉันจะเดินต่อไปเพื่อให้ได้เงินคืนตามสัญญาค่ะ   กราบขอบพระคุณท่านฯ เป็นอย่างสูงค่ะ

                                                                             จาก  อุบลรัตน์

     

     

    คำตอบ

    เรียน คุณอุบลรัตน์

         เรื่องที่เล่ามามีข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างจะสับสน ผมเห็นว่าทางที่ดีควรปรึกษาทนายความ เพื่อเขาจะได้สอบข้อเท็จจริงให้กระจ่าง ก่อนที่จะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด และควรรีบปรึกษากับทนายความโดยเร็ว เพราะอาจมีปัญหาเรื่องอายุความได้

     


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    19 เมษายน 2550