ข้อมูลพอฟ้องฝ่ายหญิงได้ไหมคะ/เงินสดในธนาคารแม่-ลูกจะถูกยึดไหมคะ
ต่อเนื่องจากคำถาม-ตอบ#021218
1. ดิฉันให้พี่ชายของสามีดูสำเนาเอกสารจากกรมพาณิชย์ที่มีคนส่งมาให้แล้วพี่ชายบอกว่า ไม่ใช่เป็นตัวแทนลูกค้าในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นลักษณะเข้าข่ายบริษัทนอมินีที่ตั้งขึ้นมาให้ต่างชาติสามารถซื้อคอนโดได้ ซึ่งสำนักงานบัญชีและทนายต่างๆในเมืองท่องเที่ยวนิยมทำกัน โดยการจดจัดตั้งบริษัทขึ้นมามีสามี เลขา น้องชายเลขา ลูกน้องในสำนักงานบางคน และฝรั่งคนที่ซื้อคอนโด เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการโดยมีฝรั่งเป็นผู้มีอำนาจลงนาม แล้วสามีก็เป็นผู้ทำบัญชีให้บริษัทเหล่านี้อีกทีหนึ่งค่ะ ซึ่งถ้าเป็นกรณีบริษัทนอมินีแบบนี้จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรส หรือต้องแจ้งให้คู่สมรสทราบหรือไม่คะ และถ้าบริษัทเหล่านี้มีปัญหากับราชการเพราะเป็นบริษัทนอมินี ดิฉันและลูกจะมีความผิดด้วยหรือไม่คะ
2. ในสำเนาเอกสารการจดจัดตั้งคณะบุคคลที่ไปยื่นขอเลขทะเบียนผู้เสียภาษีและใช้ชื่อคณะบุคคลที่ยืนเป็นชื่อสำนักงานนั้น ปรากฎมีชื่อผู้ร่วมลงนามจัดตั้ง 2 คนมีทุนเท่าๆกันและมีอำนาจลงนามได้ทั้งสองคน มีผลประโยชน์แบ่งครึ่งกัน ตามข้อเท็จจริงนี้ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่สามารถแจ้งตำรวจว่าดิฉันบุกรุกหรือไล่ดิฉันออกจากสำนักงานได้ใช่ไหมคะ และดิฉันก็ยังติดใจสงสัยในข้อเดิมอีกว่า สามีนำเงินไปลงทุนแบบนี้ทำได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ดิฉันในฐานะภรรยารับทราบและยินยอมได้ด้วยหรือคะ
3. หลักฐานจากคำบอกเล่ากึ่งเตือนให้ระวังสามีของคุณพ่อสามีประมาณ 2 ปีที่ผ่านมาพบเห็น บอกกล่าวว่าพบที่โรงหนัง กับในซุปเปอร์มาร์เก็ต ทุกครั้งที่ดิฉัน พาหลานๆ ไปกราบคุณพ่อสามีที่พัทยาในวันตรุษจีนและวันปิดเทอมปีละ2-3ครั้งค่ะ แต่ถามสามีแล้วเขาตอบว่าถูกคนแกล้ง กอปรกับคุณพ่อและสามีมีเรื่องกินใจกันในเรื่องการค้ำประกันลูกค้าที่ซื้อบ้านในสมัยที่สามีและคุณพ่อเขายังทำงานร่วมกัน ทำให้ดิฉันเชื่อใจและไม่ติดใจสามี ทั้งๆที่ดิฉันได้รับความรักความเมตตาจากคุณพ่อสามีมากที่สุดในสะใภ้ 3คนดิฉันก็ยังไม่เชื่อท่าน(ปัจจุบันท่านเสียชีวิตไปแล้วค่ะ) ทุกวันนี้ดิฉันยังรู้สึกผิดในใจอยู่เลยค่ะที่ไม่ไว้ใจท่าน และจากคำบอกเล่ารวมทั้งเตือนดิฉันจากบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อนๆที่อยู่ในพัทยาและเพื่อนๆที่ไปเที่ยวที่พัทยาแล้วพบเห็น
และจากหลักฐานเป็นรูปถ่าย3 คนบ้าง 5-6 คนบ้างโดยในรูปมีอาและพี่น้องของเลขาถ่ายร่วมด้วยแต่สามีกับเลขาถ่ายคู่กันตลอดมีการใกล้ชิดแสดงความสนิทกันทุกรูปเช่น โอบบ่า โอบเอว เกาะแขน ฯลฯ และเอกสารที่มีคนส่งมาให้ดิฉันเมื่อเร็วๆนี้ มีการจดจัดตั้งคณะบุคคลเพื่อเปิดสำนักงานร่วมกัน มีหลักฐานการนำอาแท้ๆ และน้องชาย 2 คน แฟนน้องชายจะเป็นนามสกุลเดียวกันหมด เข้ามาทำงานในสำนักงาน การเปิดบัญชีธนาคารร่วมกัน การใช้ลายเซ็นต์เกือบเหมือนของสามีดิฉัน การมีเลขโทรศัพท์มือถือติดกัน หลังปิดสำนักงานโดยปกติจะกลับไปด้วยกันมีการไปทานอาหาร ซื้อของ ดูหนัง (ดิฉันไม่เห็นด้วยตาตนเองแต่มีคนโทรศัพท์มาที่บ้านน่ะค่ะ ) และก็ได้มีโทรศัพท์ผู้หญิงบ้างผู้ชายบ้างซึ่งดิฉันเข้าใจว่าเป็นน้องชายเลขา หรือคนของเลขาในบ้างครั้งโทรมาระรายพูดคำไม่สุภาพกับดิฉันจนดิฉันต้องใช้บริการโชว์เบอร์ที่โทรศัพท์บ้าน เพราะไม่อยากให้ลูกสาวรับเดี๋ยวจะเป็นปัญหาและมี 2 ครั้งที่เป็นเบอร์มือถือของเลขาใช้โทรเข้ามาในมือถือของดิฉันจากหลักฐานที่เล่ามานี้สามารถฟ้องได้หรือไม่คะ จะมีกฏหมายใดที่สามารถคุ้มครองและให้ความยุติธรรมดิฉันกับลูกได้บ้างคะ ถ้าหลักฐานที่บอกเล่านี้ไม่พอฟ้องได้น่ะค่ะ
4. เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีการพูดคุยกันแล้วค่ะโดยมีพี่ชายและพี่สะใภ้ของสามี พี่สาวและน้องชายดิฉัน เป็นตัวแทนคุณพ่อคุณแม่ที่เสียไปแล้วของทั้งสองฝ่าย แต่ตกลงกันไม่ได้ตามที่ดิฉันได้เล่ามาแล้วนะค่ะว่าฝ่ายดิฉันต้องการฟ้องทุกทางเพราะโกรธมากเมื่อทราบเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ฝ่ายพี่ชายและพี่สะใภ้สามีขอร้องว่าขอเวลาน้องชายเขาสัก 6 เดือนแล้วค่อยมาคุยกันอีกที สามีเองเวลาญาติถามว่าจะเอาอย่างไร เขาก็ตอบว่าจะเอาอย่างไรก็ได้แต่ไม่หย่า
ดิฉันจึงรู้สึกถูกกดดันมากๆ เลยค่ะ เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากๆ ทั้งเรื่องผู้หญิงอื่นทั้งเรื่องล้มละลายมาพร้อมๆกันเลยค่ะ เพิ่งจะตั้งหลักได้ค่ะ ในแวดวงชีวิตของดิฉันตั้งแต่แต่งงานมาดิฉันก็จะมีแต่สามี ลูก และพี่น้องของสองฝ่าย มีเพื่อนสนิทสมัยเรียนที่ยังคบพูดคุยกันอยู่2คนแต่งงานอยู่เชียงใหม่คนอยู่ชลบุรีคน เพื่อนที่เหลือก็จะเป็นเพื่อนของสามี นอกนั้นก็เพื่อนที่เกิดมาร่วมโลกใบนี้กันค่ะ เมื่อมีปัญหาใดใดเกิดขึ้นก็จะมีพี่สาวคอยดูแลและตัดสินใจให้ในบางเรื่องเพราะคุณพ่อคุณแม่ดิฉันเสียแล้วทั้งคู่ค่ะ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นวิกฤติที่สุดในชีวิต ทำให้ดิฉันช้ำใจและสูญเสียความเป็นตัวตนอย่างรุนแรง ไม่เชื่ออีกแล้วในคำสั่งสอนที่ว่าทำดีแล้วจะได้ดี มอบความรักความเมตตาให้ท่านแล้วท่านจะได้ความรักความเมตตานั้นตอบ อยากให้คนอื่นปฏิบัติต่อตนเช่นไรก็ให้ปฏิบัติตัวต่อผู้อื่นเช่นนั้น ไม่จริงและไม่มีในโลกกปัจจุบันนี้แล้วค่ะ
5. พี่สาวได้สอบถามคนรู้จักให้ ธนาคารไทยพาณิชย์เองก็มีรายละเอียดข้อมูลตามหลักฐานที่แสดงต่อทางราชการในการขอจดจัดตั้งคณะบุคคลตามรายละเอียดในข้อ2 นั้นเป็นของ 2 หุ้นส่วนค่ะ ตรงกับของที่ดิฉันมี ไม่ใช่เป็นชื่อเลขาคนเดียวแน่นอน เขาก็งงไม่ทราบว่าทำไมไม่ถูกยึด แต่มีการยึดที่ดินเปล่า 2 แปลงในพัทยาเป็นชื่อของสามีคนเดียวขายทอดตลาด ก่อนถูกเป็นบุคคลล้มละลายดิฉันเองก็เพิ่งทราบจากธนาคารนี่แหละค่ะ
6. หลังจากสมรสได้ประมาณ 1 ปีพี่เขยของดิฉันได้โอนที่ดินให้ดิฉัน 1 แปลงที่ติดกับที่พี่เขยและพี่สาวของดิฉันปลูกบ้านอยู่เป็นการให้โดยเสน่หาใส่ชื่อดิฉันคนเดียว และต่อมาปี2535 พี่สาวคนโต(สมรสแต่ไม่ยอมจะทะเบียนสมรส)ได้ให้ที่ดินดิฉันอีก 1 แปลงให้โดยเสน่หาและให้ใส่ชื่อดิฉันคนเดียวไม่ให้ใส่ชื่อสามีอีกเช่นกัน ที่ดินทั้งสองแปลงนี้ตามที่ดิฉันเข้าใจจะไม่ถูกยึดใช่ไหมคะตามที่ท่านอาจารย์ได้ตอบครั้งก่อน แต่ที่ดิฉันกับลูกสาวเป็นกังวลก็คือเรื่องเงินสดที่ฝากไว้ในธนาคารทั้งบัญชีของดิฉันกับบัญชีของลูกจะถูกยึดไปด้วยหรือไม่คะ มันเป็นเงินที่ดิฉันและลูกเก็บสะสมกันมา โดยเฉพาะเงินก้อนใหญ่ในบัญชีของดิฉันมาจากการที่พี่สาวคนโตโอนมาให้ในปี2533 ตอนลูกสาวคนเล็กของดิฉันเกิด ค่ะ
สุดท้ายดิฉันกราบขอบพระคุณอาจารย์ด้วยใจจริงค่ะไม่คิดว่าอาจารย์จะให้ความสำคัญกับปัญหาของดิฉันด้วยการตอบอย่างรวดเร็วในครั้งก่อน ดิฉันทำใจว่า2-3สัปดาห์คงจะตอบปัญหาของดิฉันได้ เพราะอาจารย์มีงานมากมายจากการที่ติดตามข่าวบ้านเมือง เป็นการลดความเครียดให้ดิฉันไปได้มากๆเลยค่ะ |