ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    020903 ทางจำเป็นและภาระจำยอมนักเรียนกฎหมายปีหนึ่ง9 มีนาคม 2550

    คำถาม
    ทางจำเป็นและภาระจำยอม

    เรียนท่านอาจารย์

    มีเรื่องขอรบกวนดังนี้ครับ  กรณีมีอยู่ว่า  เมื่อก่อนปี 2533 แม่ของผมได้มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินร่วมอยู่ในที่ดินแปลงใหญ่ โดยเมื่อยายของผมเสียชีวิตเมื่อปี 2528 ที่ดินในส่วนของยายและแม่ก็ตกเป็นของแม่แต่เพียงผู้เดียว  แต่ที่ดินนี้ยังไม่ได้รังวัดแบ่งโฉนดเนื่องจากเจ้าของที่ดินคู่กรณี (ที่จะเป็นที่ตาบอดต่อไป) ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปรังวัดในที่ดินของเขามาเป็นสิบๆ ปีตั้งแต่สมัยที่ยายยังมีชีวิตอยู่


                ต่อมาเมื่อปี 2533 ก่อนที่เจ้าของที่ดินคู่กรณีจะเสียชีวิตได้ยินยอมให้ทำรังวัดและทำรังวัดสำเร็จ  แต่ที่ดินคู่กรณีนั้นก็กลายเป็นที่ตาบอด  และที่ดินแวดล้อมอื่นๆ มีจำนวนลดลงเกือบทุกแปลง  ตัวอย่างเช่น  ที่ดินของแม่  จากเดิมควรมี 39 ไร่  หลังรังวัดเหลืออยู่ 34 ไร่  หลายฝ่ายพยายามทักท้วง  แต่เจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าถ้าไม่ยอมรับการแบ่งโฉนดครั้งนั้นก็อาจจะต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการรังวัดอีกหลายรอบหลายปี  ทุกคนจึงยินยอม


                  หลังจากนั้นไม่นานเจ้าของที่ดินนั้นได้ตายลง  เอกสารโฉนดออกมาหลังจากรังวัดราว 3 ปี  ที่ดินตกเป็นมรดกแก่ทายาทเขา  ในราวปี 2536-2537 เจ้าของคนใหม่ซึ่งเป็นบุตรได้ "ขอ" ที่ดินส่วนหนึ่งจากญาติผมโดยตกลงกันว่าจะขอจากแม่ผมอีกครึ่งหนึ่งเพื่อทำถนนให้รถยนต์วิ่งออก  ญาติของผมก็ตกลงโดยมีเงื่อนไขว่า "จะให้ถ้าแม่ผมตกลง"  แต่แม่ของผมตอบว่าจะขายในราคาประเมิน  เนื่องจากทราบเจตนาของเจ้าของคนใหม่ว่าต้องการจะขายที่ดินนั้น  และหากที่ดินมีทางออกราคาก็จะสูงขึ้น  หลังจากนั้นมาเจ้าของที่ดินคนใหม่ก็ติดต่อกันน้อยมาก  เพราะเขาพยายามจะขอซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมินมาก  โดยอ้างว่ากฎหมายให้สิทธิแก่เขา  ครั้งหลังสุดระหว่างปี 42-45 ก็ตกลงกันไม่ได้ 


                 ก่อนหน้านั้นได้มีการใช้เส้นทางเข้าออกที่ดินคู่กรณีนั้นเป็นปกติ  (เดิมเป็นทางเกวียน)  แต่ราวปี 40-42 ญาติของผมได้ล้อมรั้วในส่วนครึ่งหนึ่งของเขาตามแนวเขต ทำให้เขาต้องเข้ามาใช้ทางเกวียนในส่วนของแม่ผมเพียงฝ่ายเดียว


                ด้านหลังที่ดินของเขาเป็นลำรางน้ำไหลผ่านใช้สำหรับทำนาในช่วงหน้าน้ำ  และน้ำจะแห้งในหน้าแล้ง  ถัดจากนั้นไปก็จะเป็นที่ดินมีโฉนดอีกแปลง  ซึ่งเขาสามารถใช้ออกทางสาธารณะได้  โดยจะเป็นทางที่สั้นกว่าที่จะมุ่งไปทางหลวงสายใหญ่  แต่ทางที่ผ่านที่ดินแม่เป็นทางที่สามารถตัดไปทางหลวงอีกสายหนึ่งได้ใกล้กว่า  หลายฝ่ายรวมทั้งผู้ใหญ่บ้านยืนยันว่าเขาออกทางอื่นได้  แต่ก็ต้องไปผ่านที่เอกชนอื่นอีกเช่นกัน


               ต้นปี 49 แม่ได้แบ่งขายที่ดินครึ่งหนึ่งให้แก่ผู้ใหญ่บ้านในราคาประเมิน  เนื่องจากเดิมผู้ใหญ่บ้านเคยอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์ต่อที่ดินแม่หลังจากยายตาย  โดยอ้างว่ายายเป็นคนบอกยกให้เกินสิบปีแล้ว  แม่ยินยอมโดยไม่มีการฟ้องร้อง  ปัจจุบันผู้ใหญ่บ้านเช่าที่ดินแปลงปัญหาอยู่โดยไม่มีหนังสือสัญญา  และจ่ายค่าเช่าเป็นรายปีตามผลผลิต  ปีก่อนได้ค่าเช่ามาเพียง 2,000 บาท  แต่ผู้ใหญ่บ้านก็รับปากว่าจะดูแลที่ดินและฮวงซุ้ยของยายซึ่งอยู่ในบริเวณที่ดิน
     
               การที่เจ้าของที่ดินคู่กรณีขาดการติดต่อ  จึงทำให้ผมเกิดความกังวลว่าเขาจะใช้แง่ทางกฎหมายเอาเปรียบเรา  ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยชี้ทางและตรวจแก้ความเข้าใจให้แก่ผมตามนี้ครับ


     1. ทางออกนั้นน่าจะตกเป็นทางจำเป็นที่เกิดจากการแบ่งแยกที่ดินตาม ปพพ. มาตรา 1350 ซึ่งเป็นผลทางกฎหมายไม่มีอายุความ  ใช่หรือไม่


     2. แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องการเปลี่ยนเงื่อนไขจากทางจำเป็นตกเป็นภาระจำยอมนักและไม่แน่ใจว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน  จะมีสิทธิได้ค่าทดแทนหรือไม่อย่างไร


     3. ผมได้เสนอแม่ไปก่อนว่าน่าจะล้อมรั้ว  แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่  ผู้ใหญ่บ้านบอกว่าในที่ดินของแม่มีคนพาวัวควายเข้าไปกินหญ้าและนอนพัก  ผมต้องการเพียงแค่กั้นรั้วให้เห็นแนวเขตของที่ดินชัดเจนไม่ต้องการปิดกั้นชาวบ้านที่จะเข้าไปใช้ประโยชน์ตามปกติประเพณี


     4. การที่ผมจะเจรจากับเขาว่าจะขายที่ดินในส่วนที่เป็นทางออกต่อเมื่อเขาขายที่ดินของเขาได้แก่ผู้ซื้อในอนาคตในราคาเดียวเป็นสัดส่วนปริมาณกับราคาที่เขาขายได้  จะเป็นประโยชน์หรือไม่  หรือถ้าหากเขาจะแกล้งบอกราคาต่ำๆ ผมก็จะขอซื้อที่ดินจากเขาเลย  จะเป็นวิธีที่ดีหรือไม่


     5. การเช่าที่ของผู้ใหญ่บ้านยังไม่สามารถนับอายุความครอบครองปรปักษ์ได้ใช่หรือไม่


                ยอมรับว่าทางบ้านผมกับคู่กรณีไม่ใช่เพื่อนบ้านที่ดีต่อกันนัก (เขาไม่ใช่ญาติ)  เนื่องจากอดีตตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ย่าตายาย  ซึ่งทำให้ที่ดินหดหายไปโดยทุกคนเชื่อกันว่าถ้ารังวัดตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้วที่ก็คงไม่หายไป  แม้เขาจะอ้างว่าที่ของเขาก็หายไปเหมือนกัน  แม่ผมหรือญาติๆ ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้น 


                นอกจากคำถามข้างต้นแล้ว  ผมอยากขอคำแนะนำในทางปฏิบัติอีกด้วยว่าผมจะบอกแม่อย่างไรให้เข้าใจและดำเนินการไม่ให้เสียเปรียบแก่เขา  และเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากในฐานะนักเรียนกฎหมายก็ไม่อยากจะเอาเปรียบใคร  แต่กลัวว่าเพิ่งเรียนปีแรกจะมั่นใจอะไรไม่ได้มากนัก

               ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ  หวังว่าปีต่อๆ ไปผมจะตั้งใจเรียนมากขึ้นเพื่อให้ตอบปัญหาตัวเองและช่วยให้คำปรึกษาผู้มีปัญหาอื่นๆ ได้  แต่ตอนนี้ขออนุญาตรบกวนก่อนครับ

    คำตอบ

    เรียน นักเรียนกฎหมายปีหนึ่ง

         1. ใช่

         2. เมื่อที่ดินทั้งหมดเคยเป็นแปลงเดียวกันมาแล้วแบ่งแยกในภายหลัง ที่ดินที่ถูกล้อมก็ย่อมมีสิทธิที่จะได้ทางเดินออกถนนสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน  ส่วนภาระจำยอมนั้นเป็นเรื่องไม่เกี่ยวกับที่ดินที่ถูกล้อม

        3. การล้อมรั้วไว้เป็นแนว อย่างน้อยก็เป็นไปเพื่อแสดงให้เห็นถึงการสงวนหวงห้าม และแนวเขตแห่งที่ดิน

       4. ก็น่าจะเป็นประโยชน์ดีถ้าเขาตกลงด้วย

       5. ถ้าตราบใดที่เขายังยอมรับรู้ถึงการเช่าที่มีต่อกัน ก็จะยังไม่ได้ชื่อว่าเป็นการแสดงเจตนาเป็นเจ้าของ

     


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    9 มีนาคม 2550