กราบเรียน ท่านอาจารย์มีชัยที่เคารพอย่างสูงยิ่ง เรื่องมีอยู่ว่ามีนักเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งเข้าเรียน ขอใช้ชื่อเด็กชาย A เป็นเด็กเล็กที่ดื้อเกเรมากผิดปกติธรรมดา ประเภทที่ว่าจะรบกวนเพื่อนในชั้นเรียนมากๆ ทำให้เพื่อนใน ชั้นเรียนถูกรังแก ครูที่สอนก็ไม่รู้จะดำเนินการอย่างไรลงโทษก็แล้ว เหตุการณ์เดิมๆก็เกิดขึ้นอีกทำให้ระบบการเรียนการสอนไม่ดีเท่าที่ควร ทางโรงเรียนแห่งนั้นเห็นว่าเด็กชาย A ผิดปกติ จึงได้เรียกผู้ปกครองมาพบผู้ปกครองก็เข้าข้างลูกตัวเองตลอดไม่ยอมรับความจริงว่าเด็กผิดปกติ ในที่สุดโรงเรียนเอกชนแห่งนั้น ก็ไม่มีวิธีใดจะแก้ไข จึงอยากให้เด้กคนนั้นลาออกจากโรงเรียนและจัดหาโรงเรียนพิเศษให้ แต่ผู้ปกครองก็ไม่ยอมรับข้อเสนอ แต่ยืนยันให้ลูกเรียนโรงเรียนเอกชนแห่งเดิม ผู้บริหารโรงเรียนแห่งนั้นก็ให้เด็กชาย A เรียนอยู่โดยแยกจากเพื่อนในห้องจำกัดเขต ผู้ปกครองก็ไม่ยอม โรงเรียนเอกชนแห่งนั้นก็อยากจะจำหน่าย แต่ติดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการไม่มีการกำหนดให้ลงโทษ นักเรียนถึงขั้นให้ออกจากโรงเรียน ในที่สุดผู้บริหารโรงเรียนก็จำหน่ายเด็กชาย Aไม่ยอมรับเด็กชาย A เข้าเรียนอีกต่อไป ปัญหาก็คือโรงเรียนเอกชนแห่งนั้น ได้กระทำการฝ่าฝืนระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียน พ.ศ.๒๕๔๙ ซึ่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ.๒๕๒๕ มาตรา ๖๒ ได้กำหนดว่า"ในกรณีผู้รับใบอนุญาต ผู้จัดการ ครูใหญ่ หรือครู ประพฤติตนผิดจรรยา มรรยาท หรือไม่ปฏิบัติตนตามวินัยหรือหน้าที่ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด ให้ผู้อนุญาต(สช),(ผู้ว่าราชการ) มีอำนาจ ๑.แนะนำตักเตือน ๒. ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร ๓.ภาคทัณฑ์ ๔.ระงับการให้อุดหนุน ๕.ระงับการจ่ายเงินทุนเลี้ยงชีพ ๖.เพิกถอนใบอนุญาตตามควรแก่กรณี ข้อเท็จจริงมีว่า ผู้อนุญาตได้แนะนำตักเตือนโรงเรียนแล้ว ตำหนิโทษเป็นลาย ลักอักษรก็แล้ว แต่โรงเรียนเรียนรับเด็กชาย A ไว้ไม่ได้จริงๆ หากรับจะทำให้ การเรียนการสอนในชั้นเสีย โดยเห็นว่าเด็กชาย A ผิดปกติ (แต่ผู้ปกครองมีใบรับรองแพทย์ว่าเด็กชายA ปกติ)โรงเรียนนี้ไม่ได้ขอรับเงินอุดหนุน จึงระงับการให้การอุดหนุนไม่ได้ เหลือประการเดียวก็คือเพิกถอนใบอนุญาต แต่การเพิกถอนใบอนุญาตก็จะเกินสมควรแก่กรณี กระทบต่อเด็กนั้นเรียนทั้งโรงเรียน ทางราชการจึงไม่มีทางใดจะดำเนินการกับโรงเรียนได้
จึงขอกราบเรียน ถามความคิดเห็นท่านของท่านอาจารย์ ทางราชการควรดำเนินการอย่างไรครับ
เรียน คุณธงชัย
ทางราชการก็ควรเข้าไปสอบข้อเท็จจริงดูว่าเด็กคนนั้นมีพฤติการณ์ดังที่โรงเรียนกล่าวอ้างหรือไม่ และจะทำให้เด็กอื่นๆ ต้องเดือดร้อนจนเรียนหนังสือไม่ได้หรือไม่ ถ้าเป็นจริง ทางราชการก็ควรต้องจัดการหาที่เรียนให้เด็กคนนั้นเสียใหม่ให้เหมาะสมกับสภาพของเด็ก เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงแล้วยังขืนให้เด็กคนนั้นอยู่ในโรงเรียนต่อไป อาจเป็นภัยต่อเด็กอื่นในโรงเรียนนั้น และถ้าเกิดอันตรายขึ้น ผู้ปกครองของเด็กอื่นก็อาจฟ้องร้องเอาได้