การปรับโครงสร้างหนี้และการบังคับหลักประกันของบสท.
กราบเรียนอาจารย์มีชัย
ผมเป็นลูกศิษย์ที่เคยขอคำแนะนำจากอาจารย์เมื่อ 3 ปีก่อนเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้กับบสท.และจากนั้นได้ขอคำแนะนำจากอาจารย์เรื่อยมา ใคร่เรียนข้อมูลเพื่อให้อาจารย์ทราบก่อนคำถามดังนี้ครับ
ในแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่ได้เสนอบสท.ครั้งแรก ได้เสนอว่าลูกหนี้จะชำระหนี้จำนวน 40 + 7 ( Bullet ) ล้านบาท และขอลดหนี้จำนวน 61 ล้าน ซึ่งแผนผ่านการพิจารณาจากบอร์ด แต่ทว่าในสัญญาบสท.กลับเขียนให้จำนวนที่ลูกหนี้ขอลดหนี้นั้นเป็นการผ่อนชำระโดยผู้ค้ำ ( ซึ่งตกเป็นบุคคลล้มละลายแก่อนหน้านี้แล้ว ) ตอนก่อนเซ็นต์สัญญาก็ได้ถามเจ้าหน้าที่บสท.ก็ได้รับคำชี้แจงว่าบสท.จะไปไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำ ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ปรากฏหว่าหลังจากผ่อนมาได้ 2 ปี บสท.ก็เริ่มเปลี่ยนท่าที โดยได้แจ้งว่าหากผู้ค้ำไม่สามารถชำระหนี้ได้ ลูกหนี้จะต้องชำระแทน และในปี 2549 ที่ผ่านมาไม่สามาถชำระหนี้กับบสท.ได้ แต่ก็ได้ติดต่อกับบสท.เรื่อยมาและได้แจ้งกับบสท.ว่าขอลดวงเงินการผ่อนชำระลงซึ่งบสท.ก็ให้ส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไป และขณะที่รอคำตอบอยู่นั้นก็ถูกบสท.บอกเลิกสัญญาพร้อมกับบังคับหลักประกันโดยมีการขายทอดตลาดที่บสท.เมื่อปลายปีที่ผ่านมาแต่ไม่มีผู้สนใจเข้าประมูล แต่ก่อนหน้าที่จะมีการขายทอด 30 วันได้รีบเข้าไปพบบสท.และเสนอแผนชำระหนี้ใหม่ถึง 2 ครั้ง แต่ไม่ได้รับการพิจารณา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเคสไม่ผ่านเรื่องให้ ( เรื่องไม่ถึงบอร์ด ) เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของบสท.ยืนยันที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้เท่ากับมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นการสุดวิสัยที่ลูกหนี้จะชำระหนี้ได้ ประเด็นที่ถกเถียงกันคือมูลค่าของหลักประกัน ซึ่งบสท.ยืนยันที่จะใช้การประเมินจากธนาคารที่บสท.รับโอนมา ( ประเมินโดยวิธีต้นทุน/Cost Approach ) แต่ลูกหนี้ขอเสนอที่จะชำระหนี้ไม่น้อยกว่ามูลค่าหลักประเกินซึ่งประเมินโดยบ.ประเมินที่กลต.และบสท.ให้การรับรอง ( ประเมินโดยวิธีรายได้/Income Approach ) ซึ่งเคยเรียนถามอาจารย์ครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ 3 ปีก่อนที่จะเสนอแผน ซึ่งอาจารย์ได้ให้คำแนะนำว่าจะต้องคำนวณมูลค่าหลักประกันโดยวิธีคำนวณจากรายได้ แต่อาจารย์ครับ บสท.ยืนยันที่จะให้ลูกหนี้ชำระหนี้เท่ากับมูลค่าของหลักประกันตามที่บสท.ต้องการทั้งๆ ที่ลูกหนี้ได้แจ้งว่ายินดีที่จะให้มีการประมูลใหม่เนื่องจากมูลค่าหลักประกันที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีอยู่ก็หมดอายุไปแล้ว แต่ท้ายที่สุดเมื่อสรุปไม่ได้ ลูกหนี้ได้เสนอแผนเข้าไปอีกครั้งก่อนที่จะครบกำหนด 30 วัน โดยเสนอที่จะชำระหนี้แทนผู้ค้ำอีก 5 ล้านบาท แต่บสท.ยืนกรานที่จะให้ชำระเท่ากับมูลหนี้เดิม
ล่าสุดมีการขายทอดตลาดไปเมื่อ 25/12/2550 แต่ไม่มีคนซื้อ และผมได้ติดต่อไปที่บสท.ว่าจะให้ทำอย่างไร บสท.ก็แจ้งว่าหากจะซื้อคืนจะต้องเสนอซื้อในราคาเดิมและจะต้องชำระ up front อีก 10% ซึ่งสำหรับผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นการถูกต้องเนื่องจากลูกหนี้ไม่ได้มีเจตนาไม่ชำระหนี้หรือขาดการติดต่อ แต่เงื่อนไขที่บสท.เสนอมานั้นไม่ว่าจะปรึกษาใครก็ไม่รับคำตอบที่ไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเอะอะก็อ้างว่าแผนที่เสนอมาไม่เข้ากับหลักเกณฑ์ของบสท. แต่สำหรับลูกหนี้นั้นไม่สามารถทำได้เนื่องจากเป็นการสุดวิสัยและเกินกำลังของลูกหนี้ และจากล่าสุดที่ได้สอบถามไปยังบสท.ทราบว่าขณะนี้บสท.กำลังดำเนินเรื่องโอนเข้าเป็นทรัพย์สินของบสท.
ผมจึงใคร่เรียนขอคำแนะนำจากอาจารย์เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหา ดังนี้ครับ
1. จากข้อมูลเบื้องต้น บสท.ทำเกินเหตุไปหรือไม่ที่บังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ในจำนวนที่ไม่สามารถชำระได้ ทั้งๆที่ลูกหนี้เป็นลูกหนี้ที่สุจริตและยังมีศักยภาพที่จะดำเนินธุรกิจต่อไปได้ สิ่งที่ลูกหนี้ขอจากบสท.คือขอเพียงแค่เวลาและการผ่อนชำระหนี้ที่น้อยลงเท่านั้น
2. ลูกหนี้สามารถดำเนินการอย่างไรเพื่อมิให้บสท.โอนหลักประกันเป็นของบสท.ครับ
3. มีผู้ให้คำแนะนำว่าหากลูกหนี้เห็นว่าบสท.ทำให้ลูกหนี้เสียหาย ลูกหนี้สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบสท.ได้จริงหรือไม่ครับ หากจริงมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะชนะครับ
4. มีวิธีอย่างไรที่ลูกหนี้จะสามาถทำให้บสท.ยอมรับแผนของลูกหนี้ โดยที่ลูกหนี้ได้เสนอที่จะชำระหนี้ให้กับบสท.ตามความสามารถจริงของลูกหนี้และไม่น้อยกว่ามูลค่าหลักประกันซึ่งประเมินโดยบริษัทที่เป็นกลาง
5. หากไม่สามารถระงับการโอนหลักประกันของลูกหนี้ไปยังบสท.ได้ ขั้นตอนต่อไปที่บสท.จะดำเนินการคืออะไร และลูกหนี้จะต้องทำอย่างไรเพื่อให้การแก้ปัญหาได้ข้อยุติในสภาพที่ลูกหนี้รับภาระหนี้สินได้ในระดับที่เหมาะสมกับความสามารถในการชำระหนี้และมูลค่าหลักประกัน
6. หากบสท.ขายหนี้ให้กับบุคคลภายนอกในมูลค่าที่น้อยกว่าหลักประกันหรือราคาประมูล บสท.จะทำได้หรือไม่ เนื่องจากมีได้ยินมาว่ามีบางกรณีที่บสท.ร่วมมือกับบุคคลภายนอกที่สนใจซื้อทรัพย์และดำเนินการบังคับหลักประกันกับลูกหนี้ในลักษณะนี้มาแล้ว
กราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้า และขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ตราบนานเท่านาน |