เรียนอาจารย์ที่เคารพนับถือ
ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ เรื่องเดิมดิฉัน(โดนแกล้ง) ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยร่วมในคดีอาญา (โกงเจ้าหนี้) โจทก์กล่าวหาว่าดิฉันร่วมกับจำเลยอีกคนแกล้งเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้กัน(โดยทำเป็นสัญญาเงินกู้) เพื่อกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าหรือมิได้รับชำระเลย ต่อมาในชั้นไตสวนมูลฟ้องศาลสั่งมีมูล ดิฉันต้องประกันตัวอยู่ 8 เดือน และอีก 2 เดือนข้างหน้าจะถึงวันนัดของศาลเพื่อสืบดิฉัน (จำเลย) แลพยาน ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ก่อนถึงวันนัดนั้นโจทก์ได้ถอนฟ้องดิฉันเสียก่อน ดิฉันจึงพ้นข้อหานี้ ต่อมาดิฉันจึงฟ้องกลับโจทก์ในคดีอาญาข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ (เมื่อคราวฟ้องดิฉันให้ตกเป็นจำเลยข้างต้นนั้น) ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องว่าคดีมีมูลหรือไม่ ผลสรุปว่าศาลพิพากษายกฟ้อง โดยศาลพิพากษาและให้ดุลยพินิจว่า มูลหนี้ตามใบสัญญาที่(โจทก์เดิม)กล่าวหาดิฉันกับจำเลยที่ 2 นั้นเป็นมูลหนี้ที่มีอยู่จริง สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย เพียงแต่จำเลยหรือ(โจทก์เดิม) มิได้มีเจตนาให้ดิฉันต้องรับโทษทางอาญา แต่(โจทก์เดิม)เชื่อโดยสุจริตว่าดิฉันและจำเลยที่ 2 แกล้งกันเป็นหนี้.... นี้คือดุลยพินิจของศาลในการพิพากษาชั้นไต่สวนมูลฟ้อง และขณะนี้ดิฉันได้ยื่นอุทรณ์แล้วค่ะ ดิฉันขอเรียนถามอาจารย์ว่าในเมื่อศาลพิพากษาว่ามูลหนี้ระหว่างดิฉันและจำเลยที่ 2 มีอยู่จริง และสามารถบังคับได้ตามกฎหมายนั่น ดิฉันจะทำการฟ้องจำเลยคนนี้อีก หรือ(โจทก์เดิม) ในข้อหาละเมิด (มาตรา 424 )พร้อมเรียกค่าเสียหายที่ทำให้ดิฉันต้องประกันตัวอยู่ 8 เดือน และตกเป็น(จำเลย) ผู้ถูกกล่าวหาว่าโกงเจ้าหนี้นั้น ดิฉันสามารถฟ้องตามหลังการอุทรณ์เลยได้มั๊ยค่ะทำไปพร้อมๆ กันในปีเดียวกันค่ะ ดิฉันขอรบกวนอาจารย์เพียงเท่านี้ค่ะ ขอขอบพระอาจารย์มากค่ะ
เมื่อศาลยกฟ้องในคดีอาญาแล้ว การไปฟ้องเป็นคดีแพ่งในระหว่างที่คุณยังอุทธรณ์อยู่ ก็ไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะในคดีแพ่งนั้น ศาลท่านฟังข้อเท็จจริงตามคดีอาญา เมื่อศาลฟังว่าเขาไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งหรือเอาความเท็จมาฟ้อง(เพราะเขาไม่รู้) คุณก็อาจแพ้คดีอยู่ดีแหละ การเป็นความกันไปมานั้นหาประโยชน์อะไรไม่ค่อยได้หรอกนอกจากจะเดือดร้อนกันเปล่า ๆ