ไม่เข้าใจคำพิพากษา
เรียนอาจารย์มีชัย ฯ ที่นับถือ
ผมมีปัญหาคาใจที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ ในคำวินิจฉัยของศาล เกี่ยวกับการฟ้องคดีของกระผม นอกจากจะเสียเงินเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์จากการซื้อที่ดินที่มีค่าเพียงสามแสนกว่าบาท แต่ธนาคารกลับอนุมัติวงเงินกู้ให้ซื้อจากโครงการมากถึง สองล้านกว่าบาท โดยไม่ได้ตรวจสอบสถานะของผู้กู้ ( กระผมเอง โจทย์ และ คนอื่น ๆ อีก 80 กว่าราย เป็นเรื่องผิดปกติของธนาคาร ) และรู้อยู่แล้วว่าโครงการไม่สามารถดำเนินการอย่างที่โฆษณาได้เพราะได้เลยระยะเวลาที่โครงการได้เสนอเรื่องขอกู้จากแบ๊งว่าจะให้แล้วเสร็จ แต่แบ๊งก็ยังอนุมัติสินเชื่อให้แก่ลูกค้าจากโครงการดังกล่าว ด้วยวงเงินสูงกว่าราคาประเมินมากมายดังข้างต้น เนื่องจากธนาคารต้องการให้ผู้กู้แบกภาระหนี้สินซึ่งเป็นของธนาคารเอง ( ที่ดินแปลงนี้โครงได้จำนองแบงค์มาตลอดก่อนเสนอขายให้ลูกค้า ) เหมือนกับว่า ได้เปลี่ยนตัวลูกหนี้จากโครงการขายที่เพราะไม่สามารถเอาอะไรจากเขาได้แล้ว มาเป็นประชาชน เป็นการกระจายความเสี่ยงเพราะมีหลายราย หรือไม่ก็เป็นการร่วมมือกันระหว่างโครงการกับแบ๊งค์เพื่อหาประโยชน์จากประชาชน เรื่องของกระผมมันยาวจึงไม่รู้จะบอกอย่างไรดี จึงขอสรุปสั้น ๆ ดังนี้ว่า
1.เมื่อ ปี 2536 ผมได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน เจ้าของโครงการโฆษณาว่าจะมีสาธารณูปโภคมากมาย เช่น ขุดลอกคลอง ก่อสร้างถนน ฯลฯ ได้วางมัดจำไว้
2. ในจำนวนเงินที่ผมจะต้องจ่ายมีค่าที่ดินและค่าพัฒนาที่ดินด้วย ค่าที่ดินประมาณแปดแสน ค่าพัฒนาฯ ประมาณเกือบสองล้าน
3.จากการตรวจสอบของทนายของผมทราบว่า แบ๊งค์ดังกล่าวได้ให้เงินสนับสนุนบริษัทเจ้าของโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2533 มีการเอาที่ดินเข้าจดจำนองกับธนาคาร เข้า ๆ ออก ๆ เรื่อย มา จนเมื่อปี 2537 โครงการได้แจ้งให้ผมและพวกไปเซ็นต์สัญญากู้ซื้อที่ดิน โดยเซ็นต์ไว้ไม่มีการกรอกข้อความแต่อย่างใด และรายละเอียดในการโอน ธนาคารได้มอบหมายให้โครงการกำหนดสินเชื่อให้แก่ลูกค้าเอง ทั้งอัตราผ่อนต่อเดือน ๆ ละ 38,000 ต่อมาก็ได้รับอนุมัติ ผมก็ผ่อนเรื่อยมาจนถึงปี 2543 เป็นเงิน 2,900,000, บาท จึงหยุดผ่อนเพราะว่าโครงการไม่ได้พัฒนาสาธารณูปโภคอย่างที่โฆษณาเลย
4. เมื่อปี 2547 ธนาคารจึงฟ้องพวกผม พร้อมกับฟ้องโครงการด้วย เรื่อง กู้ยืม จำนอง ฯลฯ ทนายผมต่อสู้ว่า สัญญาเงินกู้ไม่สมบูรณ์ ,เป็นนิติกรรมฉ้อฉล ละเมิด
5.เมื่อปลายปี 2547 ผมได้ตั้งทนายตรวจสอบโครงการ พบว่า ที่ดินที่ซื้อมา ที่แท้มีราคาเพียง 380,000 บาท ( ราคาขณะซื้อขาย ) โดยการตรวจสอบจากกรมที่ดิน
6.ผมได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังผู้จัดการใหญ่ของธนาคารว่าการอนุมัติสินเชื่อผิดปกติ อนุมัติให้สินเชื่อแก่สิ่งปลูกสร้างที่ยังไม่เกิดขึ้น ( ค่าพัฒนาที่ดิน ) และค่าส่วนต่างของราคาที่ดินอีกมากมาย เพื่อขออนุเคราะห์จำนวนหนี้ แต่ได้รับการปฎิเสธ ผมจึงร้องเรียนไปยังหน่วยงานราชการที่ควบคุมดูแลธนาคารซึ่งภายหลังได้ตอบมาว่า เรื่องอยู่ในระหว่างการดำเนินคดีของศาล ขอให้เป็นการยุติ
7. ปี 2549 ผมได้ให้ทนายฟ้องธนาคาร ในข้อหาละเมิด โดยเอารายละเอียดที่กล่าวมาข้างต้นและมีหลักฐานเพิ่มเติมจากการต่อสู้คดีกันในคดีที่ธนาคารฟ้องกระผมเอง และหลักฐานที่หาได้อีกว่า ธนาคารอนุมัติสินเชื่อให้กับสิ่งปลูกสร้างที่ยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่แล้วเสร็จ ให้สินเชื่อเกินราคาหลักประกันเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ตรวจสถานะของผู้กู้ก่อนให้สินเชื่อ ( ธนาคารไม่เคยถามว่ามีเงินผ่อนหรือไม่ ไม่ดูหลักฐานทางการเงิน เหมือรีบอนุมัติให้มารับภาระหนี้เร็ว ๆ ) ไม่สนใจว่าโครงการมีความคืบหน้าเพียงใด ( เพราะที่ดินจำนองอยู่ในธนาคารอยู่แล้ว จะเสร็จไม่เสร็จไม่สำคัญ เมื่อสร้างไม่เสร็จ ที่ดินไม่มีราคาก็ยิ่งให้สินเชื่อง่าย ดีกว่ากำที่ดินถูก ๆไว้โดยไม่รู้ว่าจะเรียกร้องเอาเงินจากโครงการอย่างไรเพราะเขาก็ไม่มี )
8. ในการฟ้องร้องกันคดีก่อน ทนายของผมได้ขอตรวจสอบการชำระเงินของธนาคารให้กับโครงการ ปรากฏว่า ธนาคารไม่หลักฐานการจ่ายเงิน แสดงว่า ไม่มีการจ่ายเงินกันจริง เพียงแต่ให้พวกกระผมมาแบกภาระหนี้แทนโครงการเท่านั้น ยิ่งหาคนมาแบกภาระหนี้แทนโครงการได้เท่าไหร่ ก็เป็นการกระจายความเสี่ยง และหวังว่าจะได้กำไรงามจากผู้ซื้อที่ต้องผ่อนที่ดินเปล่า ๆ ราคาสูงกว่าท้องตลาดหลายเท่า หากคุณจะฟ้องก็ให้ไปฟ้องโครงการ แต่คุณต้องจ่ายผมเท่าที่กู้อะไรทำนองนั้น
9.แต่เมื่อผมเอาเหตุผลทั้งหมดนั้นมาฟ้องศาล ศาลพิพากษาทำเป็นคำสั่งว่า ผมไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ์ การอนุมัติสินเชื่อเกินราคาทรัพย์ถือว่าผมได้ประโยชน์ ถามว่าได้ประโยชน์อะไร หากโครงการสร้างสาธารณูประโภคจริงน่ะไม่ว่า แต่โครงการไม่ได้สร้าง ธนาคารก็รู้อยู่แล้ว ( ตามที่ได้ขีดเส้นไว้ ) หรือหากเป็นการกู้เงินธรรมดาไม่ได้ที่ได้รับเงินจริง ไม่ใช่กู้จดจำนองนั่นสิ ได้ประโยชน์เพราะว่าเราได้รับเงินจริง แต่นี่เป็นการให้สิทธิ์เราเป็นหนี้ในวงเงินสูง ๆ เท่านั้น เพราะไม่ได้มีการจ่ายเงินจริง และที่ชัดเจนก็คือ หากราคาที่เท่ากับราคาเงินที่อนุมัติก็ไม่เป็นไร แต่ราคาแตกต่างกันมาก จึงชี้ให้เห็นความผิดปกติของการปล่อยเงินกู้ แต่ศาลไม่หยิบยกมาพิจารณาเลย
10.เท่านั้นยังไม่พอ ผมยังต้องเสียค่าทนายอีกหลายหมื่น เสียค่าธรรมเนียนศาล เกือบแสน โดนแบ๊งค์โกงไปแล้วเป็นล้าน ตอนนี้ยังฟ้องผมอีก ราคาที่ราคาไม่ถึงสี่แสนแต่ฟ้องสามล้าน
11.ไม่เข้าใจคำพิพากษาที่ว่า การให้สินเชื่อวงเงินสูงเป็นประโยชน์แกโจทก์ โจทก์ไม่ได้ถูกโต้แย้งสิทธิ์ ตาม ม.55 เรื่องค่าเสียหายให้ว่ากันในคดีที่ธนาคารฟ้อง และไม่เข้าใจว่าทำไมต้องริบค่าธรรมเนียมด้วย โดยอ้างว่า ได้วินิจฉัยประเด็นในคดีตาม ม.131 ( 2 ) ไม่ต้องคืนค่าธรรมเนียม
12.อยากทราบว่า หากอุทธรณ์อีกจะเสียค่าธรรมเนียมอีกหรือ เพราะดูทนายก็ไม่มั่นใจว่า เสียหรือไม่เสีย โดยบอกว่าไม่แน่ใจว่าเป็นคำสั่งแบบไหนกันแน่ ไม่นานก็จะอุทธรณ์แล้ว หากศาลพิพากษายืนจะฟ้องใหม่ได้หรือไม่ หรือว่า ควรจะต่อสู้เอาในคดีที่ธนาคารฟ้องเรา ที่ฟ้องมานี่ไม่ใช้ความคิดผม แต่เป็นความคิดทนาย เขาบอกว่า อย่างนี้น่าจะเข้าเรื่องละเมิด เพราะธนาคารปล่อยสินใจโดยเจตนาให้เรารับผิดในหนี้ที่ไม่มีมูล
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง
|