กราบเรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพ
ผมเป็นลูกศิษย์ที่ปรึกษาอาจารย์เรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้กับบสท.มาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้มีปัญหาที่ใคร่เรียนถามอาจารย์ดังต่อไปนี้
หลายเดือนที่ผ่านมาบริษัทไม่สามารถชำระค่างวดกับบสท.ได้เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย ( ช่วง 2 ปีเศษหลังจากที่ทำสัญญาได้ชำระให้กับบสท.ตรงตามกำหนด ) บสท.ได้เคยแจ้งมาว่าสามารถติดต่อกับสถาบันการเงินเพื่อให้สินเชื่อเพิ่มเติมเพื่อเสริมสภาพคล่อง ( Working Capital ) กับทางลูกหนี้ซึ่งผมก็ได้พยายามติดต่อมาโดยตลอด
แต่ทว่าเนื่องจากในสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ได้กำหนดว่าจำนวนหนี้ที่บริษัทได้รับลดหนี้ ( Hair Cut ) นั้นให้เป็นหน้าที่ของผู้ค้ำประกันรับผิดชอบ ( ซึ่งขณะที่ทำสัญญากับบสท.นั้นผู้ค้ำประกันได้ตกเป็นบุคคลล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ด็ดขาดแล้ว ) แต่เนื่องจากผู้ค้ำไม่ได้ชำระให้กับบสท.เลย ( เป็นบุคคลล้มละลายแล้วจะชำระหนี้ให้บสท.จำนวน 61 ล้านบาทได้อย่างไร? ) ผมได้รับการติดต่อจากบสท.( หลังจากที่ไม่สามารถไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำประกันได้ ) ว่าบริษัทจะต้องรับผิดชอบแทนผู้ค้ำและจะต้องทำการแก้ไขสัญญาใหม่!?
ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่ลูกหนี้จะต้องไปรับผิดชอบภาระหนี้สินแทนผู้ค้ำฯ และจะต้องไปแก้ไขสัญญาใหม่อีกเพียงเพราะว่าลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตรงตามกำหนด บสท.ไม่ควรเอาเงื่อนไขที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตรงตามกำหนดเพื่อบีบให้ลูกหนี้ต้องรับภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอีกทั้งๆที่สภาพเศรษฐกิจแบบนี้ลูกหนี้ทุกคนต่างพยายามดิ้นรนเพื่อจะแก้ไขปัญหาของบริษัทให้อยู่รอดได้
รบกวนอาจารย์ช่วยกรุณาแนะนำด้วยครับ
เรียน ศิษย์คนเดิม
ในการปรับโครงสร้างหนี้นั้น เจ้าหนี้มักจะมีสัญญาผูกมัดค่อนข้างแน่นหนา ผิดพลาดอะไรนิดหน่อย สิ่งที่เคยปรับลดให้ ก็จะฟื้นคืนมา ดังนั้นเมื่อลูกหนี้ผิดนัด ก็ย่อมเป็นโอกาสที่เขาจะฟื้นเงื่อนไขเหล่านั้นขึ้นมาบังคับใหม่ ทางที่ดีจึงควรต้องค่อย ๆ ไปเจรจาขอความเห็นใจจากเขา