ดิฉันสมควรยอมจ่ายเงินบางส่วนหรือไม่ตามคำไกล่เกลี่ยของศาล?
ดิฉันเคยเรียนถามท่านอาจารย์ในประเด็น "ผู้รับเหมาก่อสร้างจะเอาแต่เงินแต่ทำงานไม่เสร็จ" เมื่อปี 2547 และปัจจุบันดิฉันได้ผ่านขั้นตอนศาลจนจบขบวนการสืบพยานเรียบร้อยแล้วเมื่อ 23 มิ.ย.2549 โดยดิฉันโดนฟ้องว่าละเมิด ผิดสัญญาจ้าง และเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย โดยศาลนัดฟังคำตัดสิน 28 ก.ค.2549
ดิฉันขออนุญาตเกริ่นเรื่องเพื่อให้ทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ดังนี้ค่ะ
-ดิฉันกับแม่ว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างอาคาร โดยแบ่งการชำระเงินเป็น 10 งวดเท่าๆกัน โดยแต่ละงวดกำหนดว่าจะต้องทำเนื้องานต่างๆ......ให้แล้วเสร็จปัญหาเริ่มเกิดเมื่อ งวดที่6 โดยเป็นงวดของงานมุงหลังคา ซึ่งผู้รับเหมาขาดสภาพคล่องทางการเงินและขอร้องเพื่อขอเบิกเงินค่างวดล่วงหน้าก่อน โดยเนื้องานขณะนั้นแล้วเสร็จไปเพียง~50% ....โดยในเอกสาร ใบส่งมอบงาน ของงวดปกติที่ผ่านมาผู้รับเหมาจะใช้แบบฟอร์มเดียวกัน โดยระบุไว้ว่า"ได้ทำงานงวดที่.... เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขออนุญาตเบิกเงินค่างวด" ......แต่ในกรณีนี้แม่ให้ผู้รับเหมาขีดฆ่ารายละเอียดในแบบฟอร์มดังกล่าวออก( ที่ระบุว่า "ได้ทำงานงวดที่.... เสร็จเรียบร้อยแล้ว" )และผู้รับเหมาได้เขียนเพิ่มเติมว่า " เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงินจึงขอเบิกเงินก่อน และจะทำให้แล้วเสร็จก่อนเบิกงวดที่ 7 พร้อมเซ็นต์ชื่อกำกับ" ..........ตอนนำสืบพยาน ผู้รับเหมา ยอมรับเอกสารประเด็นนี้
-เดือนต่อมา28 ส.ค.2547ผู้รับเหมาก็ยื่นเอกสารใบส่งมอบงานของงวดที่ 7 และ 8 พร้อมกัน แต่งานงวดที่ 6 ยังมุงหลังคาไม่เสร็จ และเนื้องานของงวดที่ 7 และ 8 ก็ไม่เสร็จครบถ้วนสมบูรณ์ตามสัญญาจ้าง ได้เนื้องานประมาณ 80%(แต่คุณภาพของเนื้องานอาจจะได้ไม่เกิน 60%) ....หลังจากที่ให้วิศวกรตรวจสอบผลงานดิฉันและแม่ได้แจ้งเอกสารเมื่อ 30 ส.ค.2547 "ไม่อนุมัติการเบิกงวดที่ 7 และ 8" ด้วยเหตุผลของงวด 6 ที่ยังไม่แล้วเสร็จโดยอ้างถึงเอกสารข้างต้น พร้อมกับแจ้งเนื้องานที่ขาดและบกพร่องและใช้วัสดุต่ำกว่าที่กำหนดของงวดที่กำลังขอเบิก.............ตอนนำสืบพยาน ผู้รับเหมา ยอมรับเอกสารนี้ และยังยอมรับว่ายังมุงหลังคาไม่เสร็จ
-เดือนต่อมา 2 ส.ค.2547 วิศวกรได้ทำรายงานย้อนหลังเพื่อแจ้งเนื้องานงวดที่1-5ซึ่งเบิกเงินไปแล้ว แต่พบบางรายการไม่ถูกต้องตามแบบและเริ่มแสดงอาคารทรุดและแยกตัว และแจ้งงานมุงหลังคาที่ไม่สามารถจบงานได้เนื่องจากปัญหาทางเทคนิคของงานโครงหลังคาเหล็กที่ทำไว้บกพร่องก่อนหน้านั้น และแจ้งปัญหาย่อยๆอีกหลายรายการในผลงานที่ดำเนินมาถึงปัจจุบัน วันนั้นดิฉันและแม่ได้ประชุมกับผู้รับเหมาเพื่อชี้แจงรายงานดังกล่าวและผู้รับเหมาได้เซ็นต์รับทราบ.. ในท้ายที่สุดได้ตกลงร่วมกันโดยผู้รับเหมารับจะไปศึกษาแผนงานเพื่อการแก้ไขผลงาน และสรุปงานที่ยังค้างจนถึงงวดสุดท้ายเพื่อส่งมอบได้ทันตามกำหนดในสัญญาจ้าง...ตอนนำสืบพยาน ผู้รับเหมา ยอมรับเอกสารนี้ แต่ได้ปฏิเสธว่ารายการดังกล่าวเป็นการสรุปเพียงฝ่ายเดียว
-ถัดมา 8 ส.ค.2547 ผู้รับเหมาได้ขนของและอุปกรณ์หนีเมื่อเวลา ประมาณ 3 ทุ่ม และหยุดเข้าทำงานตั้งแต่วันถัดไป ติดต่อกันเกิน 11 วัน....ประเด็นนี้ตอนผู้รับเหมาฟ้อง ในคำฟ้องอ้างว่าดิฉันเอาคนนอกเข้ามาก่อสร้างซ้อนทับสัญญาจ้างเดิม จึงถือว่าดิฉันผิดสัญญาและเรียกให้ดิฉันชำระค่าจ้างและค่าเสียหาย...แต่ตอนนำสืบพยานโจทก์ กลับหักมุมยอมรับว่าดิฉันไม่ได้เอาคนนอกเข้ามาทำการก่อสร้างแต่บอกว่าดิฉันปิดกั้นหน้างานไม่ยอมให้เข้าทำงาน...ส่วนประเด็นนี้ดิฉันนำสืบพยานจำเลยจากบริษัทยามที่จ้างมาเฝ้า..ว่าไม่มีการก่อสร้างใดๆเกิดขึ้น ณ สถานที่ก่อสร้าง เพราะดิฉันหยุดการก่อสร้างไปประมาณ 7 เดือน และดิฉันได้ไปแจ้งความว่าผู้รับเหมาหนีงานเมื่อ 10 ก.ย.2547 และในวันรุ่งขึ้นได้จ้างคนมาถ่ายวีดีโอผลงานการก่อสร้างพร้อมกับเชิญเจ้าหน้าที่ตำรวจมาร่วมรับทราบขณะทำการบันทึกภาพเอาไว้
-หลังจากหยุดก่อสร้างไปแล้ว 5 เดือน เพื่อรอศาลนัดพร้อมและจะขออนุญาตศาลให้ตั้งคนกลางมาพิสูจน์ แต่ศาลกลับปฏิเสธคำขอดังกล่าว
-หลังจากนั้นดิฉันจึงได้ว่าจ้าง บริษัทเอกชนที่เป็นสมาชิกของสภาวิศวกรรมให้เข้ามาเป็นคนกลางตรวจสอบและทำรายงานชี้แจง.....ดิฉันนำสืบพยานจำเลยในประเด็นเรื่องของความบกพร่องของผลงานก่อสร้าง ด้วยวิศวกรที่อยู่ในเหตุการณ์ของงวดที่ 6จนถึงทิ้งงาน , วิศวกรจากบริษัทเอกชน และวิศวกรที่คุมงานก่อสร้างในช่วงเริ่มการก่อสร้างใหม่
-ตอนเริ่มก่อสร้างใหม่ ดิฉันไม่ได้จ้างผ้รับเหมารายใหญ่แต่จ้างโดยตรงกับผู้รับเหมาย่อยที่ชำนาญเฉพาะทาง เช่น ช่างปะปา ช่างฝ้า ช่างปูน ช่างกระเบื้องอื่นๆ.....ดิฉันนำสืบพยานจำเลยจากผู้รับเหมาย่อยในทุกงานที่ผู้รับเหมาเดิมโกหกอ้างว่าทำแล้วเสร็จ
ในการฟ้องร้องครั้งนี้ ดิฉันได้ฟ้องแย้งและเรียกให้ผู้รับเหมาเดิมชดใช้ค่าก่อสร้างที่เกินจากสัญญาเดิมและค่าเสียหายอื่นๆด้วย
คำถามที่ดิฉันจะขอความกรุณาท่านอาจารย์มีชัยแนะนำคือ...ทุกวันหลังจากสืบพยานของทั้งสองฝ่าย ศาลท่านมักจะไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกัน...(ซึ่งในความเป็นจริงดิฉันไม่หวังเงินจากผู้รับเหมาเดิมเลย เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาคงไม่มีเงินมาชดใช้ให้ดิฉันหรอก เพราะจนถึงปัจจุบันเขาก็ติดค้างค่าจ้างหลายคนกับผู้ที่มารับทำงานให้เขา ที่ดิฉันฟ้องแย้งก็เพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ต้องเสียเงินให้เขาอีก เพราะดิฉันก็เจ็บตัวมากอยู่แล้วจากบทเรียนครั้งนี้ และหากเลิกแล้วต่อกันโดยแยกกันไปดิฉันก็พอจะยอมรับได้ )
...วิธีทีศาลท่านไกล่เกลี่ยคือ ชักจูงให้ดิฉันยอมจ่ายเงินบางส่วนบ้าง...1. ดิฉันสมควรจะจ่ายดีหรือไม่คะ?.....ดิฉันพยายามคิดหาเหตุผลว่า ทำไมศาลท่านจึงพูดในลักษณะนี้...หรือท่านเห็นว่าเราผิด?...ดิฉันพยายามคิดกลับไปกลับมาหลายหนด้วยใจที่เป็นธรรมที่สุดและถามตัวเองว่าเราผิดหรือที่ไม่ยอมจ่ายเงิน งวด7และงวด8 ด้วยเหตุผลที่ผู้รับเหมาเซ็นต์ชื่อกำกับว่าจะรับผิดชอบและจะทำให้แล้วเสร็จก่อนเบิกงวด7แต่กลับไม่เป็นตามนั้น
2. ผู้รับเหมาเดิมมีสิทธิที่จะได้รับเงินของงวดที่7 และ 8 หรือไม่ หากแบ่งเป็น 2 กรณี
2.1 ให้เรายกผลประโยชน์ต่างๆ ให้ผู้รับเหมา ให้ยอมอนุมัติรับงานงวดที่ 7 และ 8 โดยไม่มีข้อท้วงติง แต่งานงวดที่ 6 ซึ่งได้ยอมรับว่ายังไม่แล้วเสร็จจริง กรณีนี้ผู้รับเหมามีสิทธิเรียกค่าจ้างของงวด 7 และ 8 หรือไม่คะ?
2.2 เนื้องานที่ 7 และ 8 ที่เสร็จบางส่วนแต่ไม่ครบถ้วนตรงในสัญญาจ้าง ผู้รับเหมามีสิทธิเรียกค่าจ้างเฉพาะส่วนที่ได้ทำไปบ้างแล้วหรือไม่คะ?
3. ในคำฟ้องของดิฉัน ฟ้องเรียกค่าเสียหายตั้งแต่ งวดที่6 จนถึงงวดสุดท้ายจนแล้วเสร็จ แต่ในการนำสืบพยาน ซึ่งดิฉันได้ซ่อมแซมจริงของงานบางส่วนของงวดที่1-5 และได้นำมารวมเพิ่มเติมในยอดค่าเสียหายที่เกินจากในคำฟ้อง ดิฉันมีสิทธิเรียกและรับค่าซ่อมแซมที่เพิ่มเติมของงวด1-5 ในการฟ้องครั้งนี้หรือไม่คะ?
หมายเหตุ : ทั้งคู่ต่างเรียกค่าเสียหายรวมเป็นยอดเงินที่พอๆกันค่ะ
สุดท้ายนี้ ดิฉันขอขอบพระคุณท่านอาจารย์มีชัย ที่รับฟังข้อสงสัยของดิฉันและขออนุญาตรบกวนท่านอาจารย์อีกสักครั้ง
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างยิ่ง
สุธาทิพ ร.
|