เรียน อ. มีชัย
ดิฉันมีเรื่องทุกข์ใจมานานค่ะ รบกวนเรียนถามอาจารย์ด้วยค่ะ ที่นาทำกินเป็นมรดกที่ปู่ยกให้พ่อยังเป็น นส3 ก. ต่อมาพ่อเสียชีวิต แม่ได้แต่งงานใหม่มีลูกด้วยกัน 1 คน แม่ได้ทำการโอนที่แห่งนี้ให้ลูกๆหมดโดยลูกทุกคนมีชื่อใน นส3ก ร่วมกัน ยกเว้นลูกที่เกิดจากพ่อใหม่โดยไม่มีชื่อแม่ในที่แห่งนี้แล้ว ไม่นานพ่อใหม่ก็เสียชีวิตอีก เมื่อประมาณปี 2546 น้องชายคนเล็กได้มายืมเงินจากดิฉันเพื่อนำไปใช้หนี้ จำนวน หนึ่งแสนบาท(ซึ่งดิฉันได้กู้ยืมมาให้) พี่น้องทุกคนได้ยินยอมและทำข้อตกลง(เขียนเป็นอักษร)ขึ้นร่วมกันว่า ลูกทุกคนจะได้รับการแบ่งที่นาคนละ 1ส่วนและให้แม่ 1 ส่วน ซึ่งการให้ยืมเงินครั้งนี้ ทุกคนรับทราบว่า ได้เอาที่นาส่วนของแม่และน้องชายคนเล็กไว้เป็นประกันซึ่งแม่และน้องยินยอมทำตาม ต่อมาดิฉันต้องการเงินคืนแต่น้องชายคนที่ยืมไปไม่สามารถหามาชดใช้ได้ จึงยินดียกนาที่เป็นส่วนของเขาให้กับคนที่หาเงินมาชดใช้ดิฉันคือพี่สาว โดยพี่สาวขอให้เขายินยอมถอนชื่อออกไป และมีพี่ชายที่ไม่ต้องการที่นาแต่ได้รับเป็นเงินอีก2 คน ยอมถอนชื่อ ต่อมาพี่สาวจะเอาที่ดินนี้ไปจำนองกับธนาคารเพื่อเอาเงินมาให้ดิฉันแทน แต่แม่ไม่ยอมจึงเกิดเรื่องราวทะเลาะวิวาทกันประจำกับพี่สาวและดิฉัน โดยแม่ได้ไปหาทนายและจะทำการฟ้องร้องเพื่อขอยึดเอามรดกนี้คืนทั้งหมด (ก่อนหน้านี้แม่เคยได้ฟ้องร้องเอาที่อยู่อาศัยคืนแต่ดิฉันยอมยกส่วนของดิฉันให้แม่ แม่จึงยอมถอนฟ้อง) ขอกราบเรียนถามอาจารย์ว่า
ทุกวันนี้ดิฉันไปเยี่ยมแม่เดือนละครั้ง ทุกครั้งที่ไปจะให้เงินตามอัตภาพดิฉันคือ 500-1000บาท แม่อยู่บ้านคนเดียวแต่มีบ้านพี่สาวอยู่ในบริเวณ แม่ยังแข็งแรงดีค่ะ แม้อายุ 67 แล้ว แม่จะรับทอผ้าไหมให้เพื่อนบ้าน เคยบอกให้หยุดทำแต่แม่ไม่หยุดค่ะบอกว่าอยู่ว่างๆไม่ได้
เรียน คุณภา
1.ที่นานั้นเป็นมรดกของบิดา ไม่ใช่ของมารดา แม้ส่วนหนึ่งจะตกเป็นของมารดา แต่ส่วนที่เป็นของบิดาที่ตกได้แก่บุตรนั้น มารดาจะมาเพิกถอนไม่ได้ แต่ส่วนที่เป็นของมารดานั้นถ้ามารดายกให้ การเรียกคืนอาจทำได้ถ้ามีกรณีเข้าข่ายเนรคุณ
2. การฟ้องร้องไม่ต้องมีการค้ำประกันอะไร ส่วนค่าทนายความนั้นก็เป็นเรื่องระหว่างลูกความกับทนายความ ถ้าเขาชนะคดีมารดาจะไปจ่ายค่าทนายอย่างไรก็เป็นเรื่องของเขา แต่เขาอาจถูกทนายหลอกเอาก็ได้
3. คงทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องลองค่อย ๆ คิดดูว่า อะไรทำให้มารดาโกรธ จนถึงขนาดฟ้องร้อง แล้วจึงค่อยแก้ไขไป