เรียน  อาจารย์มีชัยที่เคารพ

       เมื่อปี 2536  สามีของดิฉันและเพื่อน 3 คนได้ลงทุนทำธุรกิจร่วมกันโดยเซ็นค้ำเงินกู้ร่วมจากบรรษัทอุตสาหกรรมจำนวน 35 ล้านบาท   ต่อมา  สามีขายหุ้นให้เพื่อนคนนี้และได้ทำหนังสือแจ้งถอนค้ำกับบรรษัท  แต่ทางบรรษัทไม่มีหนังสือตอบกลับ   ในปี  2546  สามีได้รับหมายจากศาลแพ่งเรื่องการสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้แทนบรรษัทโดยธนาคารทหารไทย   ในหมายศาลแพ่งยังระบุสามีเป็นผู้ค้ำกู้ร่วม   และสามีไม่ได้ไปคัดค้านที่ศาลตามนัด  ต่อมาในปีนี้  สามีได้รับหมายฟ้องล้มละลายในเดือนกรกฏานี้ โดยฟ้องมูลค่าหนี้  56  ล้านบาท หากหักลบทรัพย์สินธุรกิจที่ประเมินเบื้องต้นจะเหลือมูลค่าหนี้  21  ล้านบาท  ดิฉันขออนุญาตเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. สามีจะขอชดใช้หนี้โดยหารเฉลี่ยต่อคน คือหาร 4 ได้หรือไม่คะ  และถ้าในกรณีที่เพื่อนๆไม่ยอมจ่ายชดใช้   ศาลจะยังคงพิจารณาให้สามีชดใช้หนี้โดยหาร 4 หรือไม่คะ

2.  ดิฉันควรจะไปจดทะเบียนหย่ากับสามี  เพื่อดิฉันไม่ถูกศาลพิทักษ์ทรัพย์ได้หรือไม่คะ   เช่น  เงินฝากในบัญชีธนาคารชื่อของดิฉัน   กรมธรรม์ประกันชีวิตของดิฉัน,ของสามี,และของลูกๆ   บ้านที่มีชื่อดิฉันเป็นเจ้าของโฉนด

3.  หากทรัพยืสินธุรกิจ ประกอบด้วยอาคารโกดังและที่ดิน  ถูกขายทอดตลาดด้วยมูลค่าไม่ถึงราคาประเมินคือ 35 ล้านบาทแล้ว  ลูกหนี้ยังต้องชดใช้จนครบมูลค่าหนี้  56  ล้านบาทใช่หรือไม่คะ

     สุดท้ายนี้  ดิฉันควรจะแก้ไขสถาณการณ์เรื่องนี้อย่างไร   จะมีทางดำรงรักษาทรัพย์สินในชื่อของดิฉันประการใดได้บ้างคะ

ด้วยความเคารพนับถืออย่างสูง

จากแม่บ้าน

เรียน แม่บ้านคนหนึ่ง

      การค้ำประกันใครนั้น มีผลไปจนกว่าหนี้จะหมด การไปบอกเลิกเขาฝ่ายเดียวนั้นไม่มีผลอะไรหรอก

    1. ถ้าเจ้าหนี้เขายอมก็ไม่มีอะไรห้าม แต่ถ้าเขาไม่ยอมก็ต้องรับผิดไปจนกว่าหนี้จะหมด แล้วจึงไปไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำประกันคนอื่น ๆ

    2-5  ควรปรึกษากับทนายความ เขาอาจมีช่องทางให้