บ้านที่สามีสร้างในที่ดินของภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส
เรียน อาจารย์มีชัย
ดิฉันและสามีอยู่กินและทำงานร่วมกันมา12ปี โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส สามีมีบุตรที่เกิดจากภรรยาเก่าซึ่งจดทะเบียนและหย่ากันแล้ว3คนและบุตรจากภรรยาน้อยที่มีก่อนหย่าอีก1คน ประมาณ7ปีก่อนสามีได้ลงทุนทำกิจการซื้อขายไม้ยางพารา โดยนำที่ดินชื่อสามีเข้ากู้เงินจากธนาคาร กิจการดำเนินไปได้ด้วยดี โดยดิฉันมีส่วนร่วมช่วยในการทำงานตลอด 4ปีก่อนดิฉันได้ซื้อที่ดินด้วยเงินส่วนตัว เป็นโฉนด6ไร่ ใส่ชื่อดิฉันเอง สามีต้องการเงินทุนไปใช้ในกิจการที่ทำอยู่เพิ่มประกอบกับยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง( อาศัยบ้านพี่สาวสามีอยู่เพราะบ้านเดิมของสามีให้ลูกอยู่กับภรรยาเก่า ส่วนภรรยาคนแรกสามีสร้างบ้านใหม่ให้อยู่กับลูก ) สามีจึงสร้างบ้านในที่ดินของดิฉัน เพื่อสามารถเพิ่มมูลค่าในการนำไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้เพิ่มวงเงินให้สูงขึ้นได้ ซึ่งดิฉันก็ได้เซ็นค้ำประกันให้เป็นวงเงิน5ล้านบาท แต่ปัญหาเริ่มมีขึ้นเมื่อสามีได้คิดซื้อที่ดินเพื่อทำการเกษตรปลูกยางและปาล์มน้ำมันโดยที่ไม่ได้มีเงินสดแต่ใช้เงินที่กู้จากธนาคาร ซึ่งมีภาระต้องเสียดอกเบี้ยทำให้เริ่มขัดแย้งกัน แต่ดิฉันก็ไม่สามารถทัดทานได้เพราะการเบิกจ่ายเงินเป็นอำนาจของสามี( สามีเป็นผู้กู้ ) ดิฉันก็เลยขอให้ใส่ชื่อดิฉันเป็นเจ้าของกรรมสิทธิร่วม ( ที่ดิน2แปลง 200ไร่ และ18 ไร่ ) แต่สามีปฏิเสธว่าใส่ชื่อดิฉันร่วมทั้งหมดหรือเป็นบางส่วนก็ไม่ได้เพราะ 1.พี่น้องสามีซึ่งมีส่วนช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการทำงานจะโกรธและไม่ยอมช่วยเหลืออีก ( พี่น้องสามีไม่ค่อยเห็นด้วยที่สามีอยู่กินกับดิฉันคอยยุแยงให้เกิดเรื่องอยู่เรื่อยแต่ดิฉันก็อดทน ) 2.กลัวว่าดิฉันจะฮุบสมบัติส่วนที่ควรจะเป็นของลูกๆซึ่งสามีใช้คำพูดแรงๆว่า"ฉันเป็นห่วงว่าพวกลูกๆจะฆ่าเธอซะ" 3.สามีบอกว่าเขาจะเขียนพินัยกรรมไว้ให้ ดิฉันจะได้ที่ดินหลังจากเขาตายแล้วถ้าดิฉันตายก่อนก็ถือว่าไม่มีวาสนา (ดิฉันไม่มีลูก มีแต่แม่กับน้องและหลานผู้หญิง1คน) ดิฉันก็ไม่พอใจแต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ต่อมาสามีได้ให้ลูกชายคนโตซึ่งมีครอบครัวแต่ทำงานได้ไม่พอรายจ่ายเพราะเรียนจบแค่ม.6และเคยติดยาบ้าแต่บอกว่าเลิกได้แล้ว มาทำงานด้วยโดยขอให้อยู่รวมกันในบ้านที่สร้างในที่ดิฉัน ก็จะมีปัญหาจุกจิกมาเรื่อยๆ เมื่อเดือนมิถุนายน48 ดิฉันและสามีไม่อยู่บ้าน สามีให้ลูกชายคอยดูแลงานและลูกน้องแทน3-4วัน กลับมาลูกเขาก็แสดงท่าทีว่าไม่ค่อยเกรงใจ มีลูกน้องคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่าเมื่อพ่อเขาไม่อยู่เขาได้คุยอวดว่าถ้าพ่อเขาตายเขาจะสบายเลย เพราะสมบัติที่ไม่ติดธนาคาร เช่นที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ เป็นสวนยาง สวนปาล์ม รถยนต์ที่ไม่ต้องผ่อน รถไถ รถแบคโฮ รถแทรคเตอร์จะต้องเป็นของเขากับน้องส่วนดิฉันจะไม่เหลืออะไรเลยเพราะเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ดิฉันก็เลยไปพูดปรึกษากับสามี ปรากฎว่าสามีไปถามแล้วเขายอมรับว่าพูดจริง สามีแค่พูดสอนเตือนแล้วคิดว่าจบกันไป แต่ใจดิฉันยอมรับไม่ได้สามีก็รู้ว่าดิฉันไม่พอใจก็เลยให้ลูกชายกับครอบครัวไปทำงานกับพี่สาวน้องสาวของสามี ( ซึ่งเขาไม่พอใจดิฉันอยู่ก่อนแล้ว ) ดิฉันก็คิดว่าต้องตัดสินใจออกจากบ้านด้วย เพราะสามีก็โกรธที่ดิฉันเอาเรื่องมาปรึกษา แล้วทำให้เขาต้องไล่ลูกชายออกจากบ้าน ( แต่ที่จริงไม่ได้ไล่แค่ให้หยุดงานที่นี่แล้วให้ไปทำงานกับป้าและน้าซึ่งเป็นงานที่เขาทำอยู่ก่อนแล้ว ) และในบ้านที่อยู่กันก็มีแต่ญาติของสามี ดิฉันเหมือนตัวคนเดียวกลัวสามีโมโหแล้วพาลทำร้าย เพราะเขาพูดว่าดิฉันมีแต่หาปัญหามาให้เขาต้องเสียอารมณ์อยู่เรื่ิอยๆ แต่เขาไม่มองว่าปัญหามาจากญาติและลูกๆเขาตลอดดิฉันเลยหมดความอดทนตัดสินใจเก็บของออกจากบ้าน
ดิฉันอยากเรียนถามอาจารย์ว่า
1.ทรัพย์สินที่มีเพิ่มมาจากการทำงานร่วมกันดิฉันมีสิทธิบ้างหรือไม่ เพราะดิฉันออกมามีแค่เสื้อผ้ากับรถยนต์1คัน ที่เป็นชื่อของตัวเองแต่ยังต้องผ่อนชำระค่างวดอีก36งวด ซึ่งดิฉันไม่มีรายได้จากทางอื่นเลยนอกจากงานที่ทำร่วมกัน ตอนอยู่ด้วยกันเขาให้ค่าใช้จ่ายเป็นรายเดือนเดือนละ15,000บาทไม่รวมค่าผ่อนรถหลังจากดิฉันออกมาแล้วเขาก็ไม่ให้อีกเลย
2.ถ้าจะฟ้องร้องแบ่งสินทรัพย์ ต้องทำอย่างไร มีโอกาสแพ้ ชนะแค่ไหน
3.หลังจากดิฉันออกมาจากบ้านเขาเปลี่ยนกุญแจบ้าน และให้ภรรยาเก่าทั้งสองคนกับลูกมาอยู่ด้วย ดิฉันควรทำอย่างไรเพราะข้าวของดิฉันยังมีอยู่อีกมากแต่ไม่อยากไปทะเลาะกันให้อายชาวบ้าน ( สามีเป็นผู้ใหญ่บ้านด้วย ) เขาบอกว่าให้ดิฉันโอนบ้านและที่ดินให้เขาเสีย ดิฉันขอแลกด้วยเงิน1.5ล้านเขาไม่ยอมบอกว่าให้ได้แค่เท่ากับจำนวนเงินที่ดิฉันจ่ายซื้อที่ดินมาเท่านั้น ( 3แสนเศษ )
4.เมื่อตอนสร้างบ้านหลังนี้เสร็จใหม่ๆเขาเคยคุยให้ญาติๆหลายคนฟังว่าบ้านนี้เขาสร้างให้ดิฉัน สามารถใช้อ้างเป็นหลักฐานพยานถ้าฟ้องศาลได้หรือไม่
.ดิฉันอยากให้คุยตกลงกันได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล แต่สามีเป็นคนเอาแต่ใจ ตัวดิฉันเองก็ไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่พอจะเป็นคนกลางช่วยคุยไกล่เกลี่ยให้ได้จึงเรียนมาปรึกษาขอให้อาจารย์ช่วยแนะแนวทางให้ด้วยขอบพระคุณค่ะ |