เรียน คุณมีชัย,
"เรื่องเงินเรื่องทองไม่เข้าใครออกใคร แม้แต่พี่น้องคลานตามกันมา ยังทำกันได้"
มีปัญหาอยากเรียนถามดังนี้ค่ะ
ตนเองมีพี่น้องทั้งหมด 5 คน เป็นบุตรคนโต (อายุ 45 ปี) ปัจจุบันไม่ได้อยู่ด้วยกันเนื่องจากแต่ละคนต่างแยกออกไปต่างคนต่างอยู่ บิดาเสียชีวิตไปแล้ว และมารดาเป็นผู้จัดการมรดก (กล่าวโดยวาจา โดยน้องทั้ง 4 ร่วมกันจัดการเรื่องเอกสารและให้มารดาเซ็น) ซึ่งมาทราบภายหลังว่า ตนเองไม่ได้รับมรดกเลย เนื่องจากมีการทำหนังสือยินยอมขึ้นและถูกปลอมลายเซ็นในทำนองว่า ยินยอมว่าผู้มีสิทธิ์ในมรดกได้แก่น้องทั้ง 4 คน โดยตนเองไม่มีสิทธิ์ในกองมรดกเลย (มรดกรวมทั้งหมดแล้วเกือบ 500 ล้าน) ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นน้องคนใดคนหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ขึ้น โดยมารดาไม่น่าจะทราบรายละเอียดดังกล่าว ได้ปรึกษากับทางอัยการแล้ว อัยการแจ้งว่าให้ฟ้องดำเนินการตามกฏหมาย แต่ถ้าจะฟ้อง จะกลายเป็นคดีอาญาขึ้น โดยผู้จัดการมรดก (มารดา) จะถูกดำเนินคดี แต่เนื่องจากปัจจุบันมารดากำลังป่วยเป็นโรคหัวใจอยู่ เพิ่งทำ By-pass ไป จึงเกรงว่าถ้าให้ท่านมารับรู้เรื่องราวเหล่านี้ อาจเป็นการเร่งให้ท่านไปเร็วขึ้น ซึ่งก็คงจะบาปมากถ้าท่านเกิดช็อคขึ้นมาอีก และได้สอบถามกับผู้ใหญ่ที่นับถือบางท่าน ได้แนะว่า ให้รอไปก่อนจนกว่ามารดาจะเสีย แล้วค่อยมารื้อคดีหรือฟ้องกันอีกที
จึงอยากเรียนถามคุณมีชัยว่า หากลูกๆ ทุกคนเซ็นรับทราบหมดแล้ว รวมถึงลายเซ็นที่ถูกปลอมนั้นด้วย เอกสารนั้นจะมีผลบังคับใช้เลยหรือไม่ อย่างไร แล้วสามารถจะรอจนกว่ามารดาจะเสียชีวิตได้หรือไม่ เนื่องจากเกรงว่าถ้าเอกสารนั้นมีผลบังคับใช้ไปแล้ว และบรรดาน้องๆ ทั้ง 4 ได้นำเงินมรดกนั้นไปใช้หรือนำทรัพย์สิน/อสังหาริมทรัพย์ไปขายแล้ว จะมีปัญหายุ่งยากภายหลังต้องฟ้องร้องเป็นคดีความวุ่นวายใหญ่โตหรือไม่ (ฟังดูคล้ายคดีคุณห้างทองหรือไม่คะ?) และควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไปดี เพื่อให้ยุติธรรมกับทุกฝ่าย ทุกวันนี้ไปไหนมาไหนก็เริ่มระแวง กลัวภัยมืด
ขอคำแนะนำด้วยค่ะ จะเป็นพระคุณยิ่ง
กราบขอบพระคุณ
เรียน คุณจรีรัตน์
เอกสารที่ปลอมแปลงนั้นย่อมใช้บังคับไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตามคดีมรดกนั้นต้องฟ้องกันเสียภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ส่วนคดีปลอมแปลงเอกสารนั้นมีอายุความยาว กว่านั้น อย่างไรก็ตามเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนเพราะอาจเกี่ยวข้องกับการฟ้องมารดาซึ่งเป็นคดีอุทลุม จำเป็นต้องทราบข้อเท็จจริงโดยละเอียด ทางที่ดีจึงควรปรึกษาทนายความ