การเลือกตั้งนั้น เขาถือเอาคะแนนที่ลงให้แก่ผู้สมัครเป็นเกณฑ์ ถ้าผู้สมัครคนใดได้รับคะแนนมากกว่าคนอื่น คนนั้นก็ได้รับเลือกตั้ง แต่ถ้ามีผู้สมัครคนเดียว ก็จะต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เมื่อได้เกินร้อยละ ๒๐ แล้ว ก็ถือว่าคนนั้นได้รับเลือกตั้ง ส่วนคะแนนที่มีผู้ใช้สิทธิออกเสียงว่า ไม่ประสงค์จะเลือกใคร นั้น เขาไม่นับ เพียงแต่บอกให้รู้ว่าประชาชนคิดอย่างไรกับผู้สมัครในเขตของเขา ถ้าบังเอิญมีจำนวนคนที่ไม่ประสงค์จะเลือกใครมากกว่าคะแนนของผู้สมัคร หรือแม้แต่ใกล้เคียงกัน ในภาษาการเมืองที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันเขาเรียกว่า "ขาดความชอบธรรม" แต่ถ้าถือหลักตามที่รัฐบาลพูดอยู่ในเวลานี้ก็คือ ถูกต้องตามกติกาแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา ๗ อะไรนั่นให้ยุ่งยาก ตัวอย่างเช่น คนจนไปกู้เงินเศรษฐี ๕๐๐๐ บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน ๓ เดือน และจะต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี มีเครื่องสูบน้ำที่คนจนมีอยู่เครื่องเดียวไปจำนำไว้เป็นประกัน หากผิดสัญญาจะต้องชำระดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ และเจ้าหนี้มีสิทธิยึดเครื่องสูบน้ำนั้นได้ ครั้นถึงกำหนดชำระหนี้ คนจนนั้นรวบรวมเงินได้เพียง ๔๙๐๐ บาท ขาดไป ๑๐๐ บาท ตามกฎหมายเศรษฐีย่อมมีสิทธิไม่รับชำระเงินนั้น และคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ตามสัญญา และเอาทรัพย์จำนำหลุดได้ การกระทำของเศรษฐีนั้นย่อมถูกต้องตามกติกาและกฎหมาย ส่วนคนทั้งปวงจะมองเศรษฐีนั้นอย่างไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง