อย่าไปมองไกลถึงขั้นที่ว่าสาระสำคัญที่ควรแก้ไขมีอะไรบ้าง เอาเพียงแค่จะทำสัตยาบัน หรือจะทำสัญญาประชาคม ก็ยังตกลงกันไม่ได้ เมื่อฝ่ายค้านใช้คำว่า "สัตยาบัน" ฝ่ายรัฐบาลก็คงเห็นว่าสัตยาบันแปลว่ารับรองสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ ก็เลยเกี่ยงจะให้ทำ "สัญญาประชาคม" แต่สัญญาประชาคมนั้น ก็เป็นเรื่องของประชาชนทั่วไปไม่ใช่เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองไม่กี่พรรคจะตกลงกันได้ รวมความว่าพอเริ่มต้นก็เห็นเจตนาของทั้งสองฝ่ายแล้ว การจะตกลงอะไรกันจึงยังยากที่จะมองเห็นหนทางว่าจะเกิดประโยชน์อะไรกับประชาชน จึงยังไม่ต้องไปคิดอะไรให้ไกลไปถึงขนาดผลของการปฏิรูป
ถ้าจะจำกันได้ เมื่อตอนที่รัฐธรรมนูญใช้มาครบ ๕ ปี ผมเคยเสนอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเลือกคนที่เป็นกลาง ๆ มาร่วมกันศึกษาว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหาอะไรบ้าง และสิ่งที่รัฐธรรมนูญตั้งเป้าหมายไว้นั้น เมื่อถึงเวลาใช้จริง เป็นไปตามที่ตั้งไว้หรือไม่ และผลที่เกิดขึ้นเช่นนั้น เป็นที่พอใจหรือไม่ ถ้าไม่พอใจจะสมควรแก้ไขอย่างไร เช่น รัฐธรรมนูญตั้งเป้าหมายไว้ว่าด้วยขบวนการในการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภา นั้น จะทำให้ได้คนที่เป็นกลาง ไม่ฝักไฝ่พรรคการเมือง แล้วผลเป็นอย่างไร ได้วุฒิสภาที่เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองจริงหรือไม่ ถ้าไม่ ประชาชนพอใจกับผลนั้นหรือไม่ หรือองค์กรอิสระ ที่ตั้งใจให้อิสระนั้น เมื่อถึงเวลาจริง ๆ มีความเป็นอิสระหรือไม่ และพอใจหรือไม่ เป็นต้น แต่ตอนนั้น สสร.เขาค้านคอเป็นเอ็น ว่ารัฐธรรมนูญดีอยู่แล้ว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็แหยง ไม่มีใครกล้าคิดอ่านกัน จึงปล่อยกันมาจนถึงทางตันอย่างทุกวันนี้