กราบเรียน ท่านอาจารย์มีชัย ที่เคารพ
กระผมได้ขอวงเงินเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาของบุตรซึ่งอยู่ในต่างประเทศและยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยใช้หลักทรัพย์เป็นบ้านและที่ดินที่กระผมโอนเป็นชื่อบุตรไปแล้ว โดยขออนุญาติจากศาลคุ้มครองเด็กและเยาวชนซึ่งอนุญาติให้ธนาคารรับจำนองในวงเงินไม่เกิน 1ล้าน5แสนบาท.
ต่อมาในช่วงวิกฤติเศรฐกิจทำให้ธุรกิจเป็น NPL ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอีกเท่าตัวทางธนาคารจะให้กระผมพร้อมกับบุตรซึ่งในขณะนี้่บรรลุนิติภาวะแล้ว ไปเซ็นยอมรับหนี้ใหม่คือต้นบวกดอกเบี้ยใหม่.
กระผมมีความเห็นว่าหนี้ใหม่จากดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมานี้ควรเป็นภาระของกระผมแต่ผู้เดียวไม่เกี่ยวกับบุตร เพราะคำสั่งศาลให้ความคุ้มครองเด็กในวงเงินที่ศาลอนุญาติ แต่หากว่าไม่คุ้มครอง ก็ดูเหมือนว่ากฏหมายคุ้มครองไม่ให้บิดาเอาจากบุตรแต่บุคลอื่น(ธนาคาร) สามารถเรียกร้องได้.
กระผมจึง ขอเรียนถามอาจารย์ว่า การที่ธนาคารเรียกร้องให้บุตรไปเซ็นสัญญาใหม่ร่วมกับผมสามารถทำได้หรือไม่ เป็นการขัดคำสั่งศาลที่ให้ความคุ้มครองเด็กหรือไม่
ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง
ธีระ
เรียน คุณธีระ
เมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว เขาย่อมมีสิทธิและหน้าที่เหมือนคนทั่วไป การที่ธนาคารเรียกไปให้ลงชื่อรับสภาพหนี้ใหม่ เขาย่อมมีสิทธิที่จะยอมรับหรือไม่ยอมรับได้เช่นเดียวกับคุณ
ขอแนะนำว่า ถ้าราคาบ้านและที่ดินท่วมท้นเงินกู้พร้อมด้วยดอกเบี้ย ก็ไม่ควรไม่ยอมรับสภาพตามที่ธนาคารกำหนด เพราะทันทีที่ไปยอมรับ ดอกเบี้ยที่ค้างอยู่จะกลายเป็นเงินต้น และต่อไปเขาก็จะคิดดอกเบี้ยบนดอกเบี้ยนั้นได้ ไม่นานหนี้ทั้งหมดจะท่วมราคาบ้านและที่ดิน ในที่สุดเมื่อถูกบังคับจำนอง จะเสียบ้านและที่ดินแล้วจะยังมีหนี้เหลือที่ต้องชำระอีก หากเขาจะฟ้องร้องเพื่อบังคับจำนองในวันนี้ คุณก็ยังมีโอกาสมีเงินเหลือจากการชำระหนี้ได้