ความจำเป็นของพรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ในการขายหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินวัตร
เรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพ
วันนี้ ได้ฟังเหตุผลของท่าน พลตรี จำลอง ศรีเมือง ในการเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ แล้วผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุผลข้อแรก ท่านพลตรี จำลอง บอกว่า ท่านนายกฯ ได้แก้กฎหมาย พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคมในวันศุกร์ (20 มค 49) ให้บุคคลต่างด้าวสามารถถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก 25 % เป็นไม่เกินกึ่งหนึ่ง ทำให้ครอบครัวชินวัตรสามารถขายหุ้นชินคอร์ป 49.6% ในวันจันทร์ถัดมา (23 มค 49) ได้
เพราะเท่าที่ผมได้อ่าน พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ทั้งฉบับปี 2544 และ แก้ไข ปี 2549 ผมพบว่า พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคมดังกล่าว ไม่ได้บังคับและกำหนดการถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ป เพราะบริษัทชินคอร์ป ไม่ใช่บริษัทที่ได้รับสัมปทานโทรคมนาคมจากรัฐ แต่ชินคอร์ปเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ การถือหุ้นของบุคคลต่างด้าวในชินคอร์ป จะถูกกำหนดเองโดยการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปเอง
โดยตามกฎหมาย พรบ การประกอบกิจการของคนต่างด้าว ปี 2542 แล้ว โครงสร้างผู้ถือหุ้นชินคอร์ปใหม่โดยกลุ่มเทมาเสก และไทยพาณิชย์ ยังเป็นนิติบุคคลไทยอยู่
ประเด็นการถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานโทรคมนาคม ในพรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม จะบังคับใช้กับบริษัทลูกของชินคอร์ป เช่น เอไอเอส (สัมปทานมือถือ GSM) หรือ ชินแซท (สัมปทานดาวเทียมไทยคม และ IPSTAR) เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ตามกฎหมายการประกอบกิจการของคนต่างด้าวแล้ว ชินคอร์ปหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ยังเป็นนิติบุคคลไทยอยู่ ก็แปลได้ง่าย ๆ ว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลง การถือหุ้นของคนต่างด้าวในเอไอเอส และชินแซท ตามกฎหมายก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง
ผมจึงอยากสรุปว่า พรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ได้ช่วยอะไรในการขายหุ้นชินคอร์ป 49.6 เปอร์เซ็นต์ของตระกูลชินวัตร
และอีกเหตุผลสนับสนุนก็คือ ในเดือนตุลาคม 2548 ก่อนการประกาศ พรบ ดังกล่าว 3 เดือน ตระกูลเบญจรงคกุล ได้ขายหุ้นยูคอม ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานมือถือ DTAC โดยขายหุ้นยูคอมทั้งหมด จำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ในกับกลุ่มเทเลนอร์ จากประเทศนอร์เวย์ โดยโครงสร้างการขายหุ้น และการตั้งบริษัทเข้ามาซื้อหุ้น สามารถเทียบเคียงได้กับกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเสกและไทยพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2549
ดังนั้น หาก พรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่แก้ไขการถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานการโทรคมนาคมจาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 49 เปอร์เซ็นต์ จำเป็นในการขาย ตระกูลเบญจรงคกุลก็จะต้องรอมาขายหุ้นหลังประกาศกพรบ นี้ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งในกรณีนี้ ตระกูลเบญจรงคกุลไม่ได้รอ
และหากตรวจสอบดูผู้ถือหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศของบริษัทยูคอมหลังจากมีการตั้งโต๊ะรับซื้อ (Tender Offer) ก็พบว่าบริษัทที่ตั้งเข้ามาซื้อหุ้น ได้หุ้นจากการทำ Tender Offer อีก 31 เปอร์เซ็นต์ รวมกับที่ได้จากตระกูลเบญจรงคกุล 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นถือหุ้นทั้งหมดในยูคอม 61 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขในวันที่ 5 มกราคม 2549 (ก่อนการประกาศ พรบ ดังกล่าวเสียอีก)
ผมอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์มีชัยว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่
ด้วยความที่ผมไม่อยากให้สังคมได้รับข้อมูลสำคัญคลาดเคลื่อนในการตัดสินครั้งสำคัญทางการเมือง
ด้วยความเคารพอย่างสูง
เขมรัตน์ โอสถพันธ์ |