ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    016166 ความจำเป็นของพรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ในการขายหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินวัตรเขมรัตน์ โอสถพันธ์20 กุมภาพันธ์ 2549

    คำถาม
    ความจำเป็นของพรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ในการขายหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินวัตร

    เรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพ

     

                    วันนี้ ได้ฟังเหตุผลของท่าน พลตรี จำลอง ศรีเมือง ในการเข้าร่วมการชุมนุมในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ แล้วผมรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเหตุผลข้อแรก ท่านพลตรี จำลอง บอกว่า ท่านนายกฯ ได้แก้กฎหมาย พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคมในวันศุกร์ (20 มค 49) ให้บุคคลต่างด้าวสามารถถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานประกอบกิจการโทรคมนาคมจาก 25 % เป็นไม่เกินกึ่งหนึ่ง ทำให้ครอบครัวชินวัตรสามารถขายหุ้นชินคอร์ป 49.6% ในวันจันทร์ถัดมา (23 มค 49) ได้

     

                    เพราะเท่าที่ผมได้อ่าน พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ทั้งฉบับปี 2544 และ แก้ไข ปี 2549 ผมพบว่า พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคมดังกล่าว ไม่ได้บังคับและกำหนดการถือหุ้นในบริษัทชินคอร์ป เพราะบริษัทชินคอร์ป ไม่ใช่บริษัทที่ได้รับสัมปทานโทรคมนาคมจากรัฐ แต่ชินคอร์ปเป็นบริษัทที่ถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐ การถือหุ้นของบุคคลต่างด้าวในชินคอร์ป จะถูกกำหนดเองโดยการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทชินคอร์ปเอง

     

                    โดยตามกฎหมาย พรบ การประกอบกิจการของคนต่างด้าว ปี 2542 แล้ว โครงสร้างผู้ถือหุ้นชินคอร์ปใหม่โดยกลุ่มเทมาเสก และไทยพาณิชย์ ยังเป็นนิติบุคคลไทยอยู่

     

                    ประเด็นการถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานโทรคมนาคม ในพรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม จะบังคับใช้กับบริษัทลูกของชินคอร์ป เช่น เอไอเอส (สัมปทานมือถือ GSM) หรือ ชินแซท (สัมปทานดาวเทียมไทยคม และ IPSTAR) เป็นต้น ซึ่งในกรณีนี้ตามกฎหมายการประกอบกิจการของคนต่างด้าวแล้ว ชินคอร์ปหลังการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น ยังเป็นนิติบุคคลไทยอยู่ ก็แปลได้ง่าย ๆ ว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลง การถือหุ้นของคนต่างด้าวในเอไอเอส และชินแซท ตามกฎหมายก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง

     

                    ผมจึงอยากสรุปว่า พรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไม่ได้ช่วยอะไรในการขายหุ้นชินคอร์ป 49.6 เปอร์เซ็นต์ของตระกูลชินวัตร

     

                    และอีกเหตุผลสนับสนุนก็คือ ในเดือนตุลาคม 2548 ก่อนการประกาศ พรบ ดังกล่าว 3 เดือน ตระกูลเบญจรงคกุล ได้ขายหุ้นยูคอม ซึ่งถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานมือถือ DTAC โดยขายหุ้นยูคอมทั้งหมด  จำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ในกับกลุ่มเทเลนอร์ จากประเทศนอร์เวย์ โดยโครงสร้างการขายหุ้น และการตั้งบริษัทเข้ามาซื้อหุ้น สามารถเทียบเคียงได้กับกรณีการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับกลุ่มเทมาเสกและไทยพาณิชย์ในเดือนมกราคม 2549

     

                    ดังนั้น หาก พรบ แก้ไข พรบ การประกอบกิจการโทรคมนาคม ที่แก้ไขการถือหุ้นในบริษัทที่ได้รับสัมปทานการโทรคมนาคมจาก 25 เปอร์เซ็นต์ เป็น 49 เปอร์เซ็นต์ จำเป็นในการขาย ตระกูลเบญจรงคกุลก็จะต้องรอมาขายหุ้นหลังประกาศกพรบ นี้ในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งในกรณีนี้ ตระกูลเบญจรงคกุลไม่ได้รอ

     

                    และหากตรวจสอบดูผู้ถือหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศของบริษัทยูคอมหลังจากมีการตั้งโต๊ะรับซื้อ (Tender Offer) ก็พบว่าบริษัทที่ตั้งเข้ามาซื้อหุ้น ได้หุ้นจากการทำ Tender Offer อีก 31 เปอร์เซ็นต์ รวมกับที่ได้จากตระกูลเบญจรงคกุล 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นถือหุ้นทั้งหมดในยูคอม 61 เปอร์เซ็นต์ เป็นตัวเลขในวันที่ 5 มกราคม 2549 (ก่อนการประกาศ พรบ ดังกล่าวเสียอีก)

     

                    ผมอยากจะเรียนถามท่านอาจารย์มีชัยว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่

     

                    ด้วยความที่ผมไม่อยากให้สังคมได้รับข้อมูลสำคัญคลาดเคลื่อนในการตัดสินครั้งสำคัญทางการเมือง

     

                    ด้วยความเคารพอย่างสูง

                   

                    เขมรัตน์ โอสถพันธ์

    คำตอบ
    เรียน คุณเขมรัตน์ ความเข้าใจของคุณนั้นจะถูกต้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับวิธีคิด ถ้าคิดในแง่ของการประกอบธุรกิจ ก็น่าจะเป็นการถูกต้อง แต่ถ้าคิดในแง่ของการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐก็อาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตัวอย่างที่ยกเรื่องยูคอมนั้น น่าจะเทียบเคียงได้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสภาผู้แทนในเวลาที่ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี ซึ่งฝ่ายค้านก็จะพยายามหาหลักฐานมาชี้ให้เห็นว่ารัฐมนตรีกระทำการไม่ชอบหรือส่อไปในทางไม่สุจริต ส่วนรัฐมนตรีก็จะชี้แจงว่าเมื่อตอนที่ฝ่ายค้านเป็นรัฐบาลนั้น ก็กระทำการทำนองเดียวกัน คือไม่สุจริต จึงดูเหมือนกับว่าสังคมทำท่าจะยอมรับกันว่า ถ้ามีใครทำผิดเข้าสักครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะเป็นตัวอย่างให้คนที่ทำตามหลังมาไม่เป็นความผิด ที่พูดนี่ยังไม่ได้หมายความว่าการกระทำของยูคอมเป็นความผิด แต่น่าจะลองคิดดูว่า ถ้าการกระทำของยูคอมเป็นสิ่งที่ไม่สมควร หรือเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย หรือเป็นการทำให้ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงภัย รัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีหน้าที่ที่จะดำเนินการเอาตัวคนผิดมาลงโทษ หรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดให้ความมั่นคงปลอดภัยของประเทศพ้นจากความเสี่ยงภัย ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐไปถือเอาการกระทำนั้นมาเป็นแบบอย่าง แล้วเจริญรอยตาม แล้วใครจะเป็นคนเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ใครจะปกป้องประโยชน์ของประเทศ ตัวอย่างนั้นจึงไม่น่าจะใช้ได้ อันที่จริงที่ถกเถียงกันอยู่นี้ ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ เพราะคนที่กระทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีที่ปรึกษาที่พยายามจะหาช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อไต่เส้นลวดไปให้ได้ (แต่บางทีไต่ไปไต่มาก็อาจสะดุดได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น ตามกฎหมายเดิมก่อนการแก้ไขนั้น กำหนดไว้ว่าผู้รับอนุญาตนอกจากจะต้องมีสัญชาติไทยแล้ว ยังต้องมีคนสัญชาติไทยถือหุ้นในสัดส่วนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๗๕ ของทุนจดทะเบียน แต่บริษัทอะไรที่ไปจดทะเบียนกันที่เกาะอะไรกลางทะเลนั้น แม้จะมีคนไทยถือหุ้น ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ตามกฎหมายเขาถือว่า บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยนั้นเป็นผู้ไม่มีสัญชาติไทย เพราะฉะนั้นถ้ารวม ๆ กันเข้า บางทีอาจจะมีคนไทยถือหุ้นไม่ถึงร้อยละ ๗๕ มาตั้งนานแล้วก็ได้) ปัญหาอยู่ว่าในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ สมควรเดินเช่นเดียวกับคนทั่วไปหรือไม่ เพราะคนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ได้รับการยกย่องและปกป้องคุ้มครองให้มีเอกสิทธิ์ต่าง ๆ มากมายกว่าประชาชนคนธรรมดา เพราะมีหน้าที่ต้องดูแลประโยชน์และความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ในขณะเดียวกัน ก็จะถูกจำกัดโดยคุณธรรมมิให้กระทำการบางอย่างที่นักธุรกิจทั่วไปเขาทำกัน อันกฎหมายนั้นย่อมมีช่องโหว่อยู่เสมอ ประชาชนทั่วไปย่อมมีสิทธิโดยชอบที่จะหาช่องโหว่และเดินไปตามช่องโหว่นั้นเพื่อเอารัดเอาเปรียบรัฐบ้างหรือเอาเปรียบกันเองบ้าง ในขณะเดียวกันคนที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องคอยอุดช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม รักษาประโยชน์ของรัฐ และรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐมัวใช้ช่องโหว่นั้นเสียแล้ว ใครจะเป็นคนคอยทำหน้าที่ได้ทันเวลา ตัวอย่างเช่น แต่เดิมสารระเหยประเภททินเนอร์นั้น ไม่มีกฎหมายใดควบคุม เพราะไม่มีใครทราบว่าจะนำไปสูดดมจนติดเหมือนยาเสพติดได้ ซึ่งเป็นช่องโหว่หรือกฎหมายตามไม่ทัน พ่อค้าที่เห็นประโยชน์ก็จัดการแบ่งขายเป็นขวดเล็ก ๆ เพื่อให้เด็ก ๆ และคนมีเงินน้อยซื้อไปสูดดมได้ ไม่เป็นการผิดกฎหมาย รัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็มีหน้าที่ต้องรีบออกกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่นั้นเสีย เพื่อควบคุมและคุ้มครองป้องกันเยาวชนไม่ให้ติดทินเนอร์นั้นต่อไป ถ้าสมมุติว่ารัฐมนตรีสาธารณสุข เห็นว่าทินเนอร์นั้นขายดี จึงผลิตและจัดการแบ่งขายเสียเอง ซึ่งจะว่าผิดกฎหมายก็ไม่ได้ เพราะยังไม่มีกฎหมายใช้บังคับ ถ้ารัฐมนตรีสาธารณสุขทำเช่นนั้น ประชาชนจะพึ่งใคร จะหวังให้ใครไปแก้ไขกฎหมายเพื่ออุดช่องโหว่หรือคุ้มครองเยาวชนได้ แล้วเราจะพอใจกับคำอธิบายที่ว่ารัฐมนตรีสาธารณสุขไม่ได้ทำผิดกฎหมายได้อยู่หรือ ว่าง ๆ ลองอ่านคำถามคำตอบที่ 015984 ดูบ้างก็ได้ ที่พูดมาทั้งหมดนี้มิได้หมายความว่าจะไปร่วมวงกับขาจรหรือขาประจำอะไรหรอก เพียงแต่เสียงดายโอกาสของคนเก่งและคนที่มีความพร้อมในด้านทุนทรัพย์ที่มาตามระบอบ ถ้าสามารถแก้ไขปัญหาเรื่อง "ความไม่ไว้วางใจ" ที่กำลังเผชิญอยู่ได้ และนำความ "ดี ๆ" มาใช้ ก็น่าจะทำให้บ้านเมืองเจริญก้าวหน้าไปได้อย่างมาก
    มีชัย ฤชุพันธุ์
    20 กุมภาพันธ์ 2549