ผมกู้เงินผ่อนบ้าน(ทาวน์เฮ้าส์)กับธนาคารแห่งหนี่งจำนวน 600,000 บาทและได้ผ่อนชำระค่างวดกับธนาคารมาระยะหนึ่ง แต่ต่อมาไม่สามารถผ่อนส่งต่อได้ตั้งแต่ประมาณปี 1995 ต่อมาทางธนาคารยึดบ้านคืนไปขายทอดตลาด แต่ได้ใช้ชื่อน้องสาวซื้อไว้ในราคา 850,000 บาท เมื่อประมาณ กลางปี 2005 (ซึ่งผมเป็นคนผ่อนส่งกับธนาคารจากเงินต้น 700,000 บาท เองเดือนละ 3000 บาท) ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2005 ทางธนาคารได้ส่งจดหมายมาติดตามหนี้ส่วนขาดอีกประมาณ 800,000 กว่าบาท ให้ไปติดต่อ ถ้าเกินกำหนดจะส่งฟ้อง ตอนนี้ทำอาชีพอิสระไม่มีรายได้ประจำแน่นอน จะรอให้ศาลฟ้อง หรือไปตกลงกับธนาคารดีกว่า ธนาคารอาจลดดอกเบี้ยให้หรือไม่ ดอกเบี้ยส่วนขาดสูงเกินไปหรือไม่ และดอกเบี้ยจะขึ้นไปอีกหรือไม่ กรุณาแนะนำด้วย จะทำอย่างไรดี ขอบคุณครับ
ผมกู้เงินผ่อนบ้าน(ทาวน์เฮ้าส์)กับธนาคารแห่งหนี่งจำนวน 600,000 บาทและได้ผ่อนชำระค่างวดกับธนาคารมาระยะหนึ่ง แต่ต่อมาไม่สามารถผ่อนส่งต่อได้ตั้งแต่ประมาณปี 1995 ต่อมาทางธนาคารยึดบ้านคืนไปขายทอดตลาด แต่ได้ใช้ชื่อน้องสาวซื้อไว้ในราคา 850,000 บาท เมื่อประมาณ กลางปี 2005 (ซึ่งผมเป็นคนผ่อนส่งกับธนาคารจากเงินต้น 700,000 บาท เองเดือนละ 3000 บาท) ต่อมาเมื่อเดือนธันวาคม 2005 ทางธนาคารได้ส่งจดหมายมาติดตามหนี้ส่วนขาดอีกประมาณ 800,000 กว่าบาท ให้ไปติดต่อ ถ้าเกินกำหนดจะส่งฟ้อง ตอนนี้ทำอาชีพอิสระไม่มีรายได้ประจำแน่นอน
จะรอให้ศาลฟ้อง หรือไปตกลงกับธนาคารดีกว่า ธนาคารอาจลดดอกเบี้ยให้หรือไม่
ดอกเบี้ยส่วนขาดสูงเกินไปหรือไม่ และดอกเบี้ยจะขึ้นไปอีกหรือไม่
กรุณาแนะนำด้วย จะทำอย่างไรดี ขอบคุณครับ
การที่เขามายึดบ้านไปขายได้ แสดงว่าเขาได้ฟ้องจนคดีถึงที่สุดไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในชั้นการบังคับคดี คือ การติดตามทรัพย์สินเพื่อยึดมาขายทอดตลาด เขาไม่ต้องฟ้องอีก ดังนั้น ทางเลือกจึงอยู่ที่ไปพูดคุยกับธนาคารเพื่อให้เขาลดหย่อนและยอมให้ผ่อนส่ง หรือมิฉะนั้นก็รอให้เขามายึดทรัพย์สินอื่น ๆ การไปพูดคุยกับเขาไม่น่าจะเสียหายอะไร ถ้าเขาไม่ให้ก็ไม่ได้ทำให้สถานภาพแย่ลงไปกว่าเดิม ข้อสำคัญเวลาไปคุยกับเขา ก่อนจะเซ็นเอกสารอะไรก็อ่านเสียให้ละเอียด แล้วถามตัวเองว่าทำตามนั้นได้หรือไม่