เมื่อปี2545ข้าพเจ้าได้ถูกฟ้องขับไล่ที่จากบิดาซึ่งเป็นโจทก์ เดิมโจทก์มีที่ดินประมาณ2ไร่ได้ถูกถนนตัดผ่าน ข้าเจ้าได้มาปลูกบ้านอยู่ในเขตรัศมีนั้น(กรมชลประทาน)อยู่มา 18 ปีแล้วได้ต่อเติมห้องน้ำเกินเข้าไปในโฉนดของโจทก์ประมาณ 5 ตารางวาโจทก์ได้ขอเงินไปแล้ว 5หมื่นบาท ท่มีปัญหาเพราะโจทก์จะขออีก 2แสน ไม่มีให้จึงเกิดฟ้องกันขึ้นเมื่อไปศาลนัดแรกไกล่เกลี่ยจำเลยคือข้าพเจ้าขอเงินคืนแล้วจะรือให้ แต่โจทก์ไม่ยอมศาลให้ไปฟ้องร้องต่างหาก (บุตรฟ้องบิดาไม่ได้)ข้าพเจาขอเวลา 1ปีในการปลูกสร้างบ้านใหม่แต่โจทก์ไม่ยอมศาลจึงให้ดำเนินการต่อข้าเจ้าขอค่ารือถอน โจทก์ขอคิดค่าเช่าเดือนละ 2000 ศาลได้ไกล่เกลี่ยใช้คำว่าสละประเด็นอื่นให้ออกค่ารังวัดคนละครึ่งเกินแค่ไหนรือแค่นั้น ปรากฎว่าวัดแล้วที่ดินเกินโฉนดไปประมาณ 50ตารางวา บ้านเกินไป ในโฉนด 5 วา ศาลเปลี่ยนเป็นสืบพยาน โจทก์ใช้ตังเองเป็นพยานว่าได้รับเงินแล้ว และบุตรชายและบุตรสาวเป็นพยานว่าปลูกบ้านบนโฉนด
ศาลตัดสินให้ข้าพเจ้าจ่ายค่าเช่าเดือนละ 500 รวมทั้งค่าทนายค่าฤชาะรรมเนียข้าเจ้าอุทรว่าไกล่เกลี่ยแล้วสละประเด็นออกให้ออกค่ารังวัดคนละครึ่ง ศาลยกฟ้องคำอุทรเพราะเงินไม่ถึงแค่ให้คืนค่าธรรมเนียมให้จำเลย
ข้าพเจ้าไม่รู้ด้านกฎหมายจึงขอทราบดังนี้ คำว่าคืนค่าธรรมเนียมให้จำเลย หมายถึงเงินอะไร (ใช่เงินที่วางศาลหรือไม่) ข้าพจ้าจะฎีกาอีกได้หรือไม่ หรือว่าจะทำเรืองร้องเรียนไปที่ไหนเพราะตอนตกลงกันผู้พิกษาคนหนึ่ง แล้วตอนสืบพยานแล้วตันสินอีกคนหนึ่ง และขณะนี้ข้าพเจ้ากำลังรือถอนบ้านอยู่
สงสัยว่าในเมือโจยก์ก็ยอมรับว่าได้รับเงินแล้ว (ในโฉนดก็ถุกตัดแล้วทำไมศาลจึงสั่งให้รือถอนบ้านเลขที่หมายถึงทั้งหมดใช่หรือไม่ ทำไมไม่ให้รื้อถอนเพียงส่วนที่เกิน )ข้าเพจ้ารือถอนทั้งหมดอยู่แล้วแต่ไม่เข้าใจในคำพิพากษา ในเมื่อรับเงินไปแล้วที่ดินก็ต้องเป็นของกรมชลประทานทำไมข้าเจ้าต้องจ่ายเงินให้โจทก์ด้วยเป็นค่าเช่าเดือนละ 500 ทั้งๆที่ไกล่เกลี่ยกันไปแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เรียกค่ารือถอน โจทก์ไม่เรียก ต่างคนต่างจ่ายนอกจากค่ารังวัดคนละครึ่ง
การคืนค่าธรรมเนียมก็คือ บรรดาค่าธรรมเนียมทั้งหลายที่ต้องไปวางศาลเมื่อจะยื่นอุท่ธรณ์
การเป็นคดีความกับบิดาไม่ใช่เรื่องที่เป็นมงคลนัก นี่ก็ปีใหม่แล้วทำจิตใจให้ผ่องแผ้วเสียดีกว่าที่คิดอ่านจะไปทำคดีให้ยืดเยื้อ