ในการตอบคำถามนั้นมีหลักอยู่ว่า ถ้าเป็นคำถามที่ถามมาอย่างสุภาพ ไม่ระรานคนอื่นหรือก่่อให้เกิดความเสียหายแก่คนอื่นอย่างจงใจ หรือเป็นการเผยแพร่สิ่งที่ไม่ควรได้รับการเผยแพร่ ก็จะไม่ได้รับการนำขึ้นให้ปรากฏแก่คนทั่วไป ส่วนคำถามที่ไม่เข้าข่ายดังกล่าว ก็จะนำขึ้นแสดงให้ปรากฏเพื่อผู้ถามจะได้ทราบว่าคำถามที่ถามมานั้นได้รับแล้ว จะได้ไม่ต้องส่งซ้ำ ๆ เข้ามาอีก
คำถามที่นำขึ้นแสดงให้ปรากฏนั้น บางคำถามก็จะไม่ตอบ ด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. คำถามที่เป็นปัญหาในห้องเรียน ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ตอบ เพราะเป็นเรื่องที่ต้องไปค้นคว้ากันเองหรือไปสอบถามครูบาอาจารย์ได้ หรือบางทีดูเหมือนจะตอบแต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้น เป็นแต่เพียงกระตุ้นให้ไปค้นคว้าเอาเอง
2. คำถามที่ถามอย่างสมมุติ
3. คำถามที่เป็นเชิงธุรกิจอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถ้าขัดข้องอย่างไรผู้ถามก็ย่อมอยู่ในฐานะที่จะไปจ้างทนายความหรือที่ปรึกษากฎหมายได้อยู่แล้ว เว้นแต่เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะอนุโลมให้ได้และผู้ตอบมีความรู้พอที่จะตอบให้ได้
4. คำถามที่ไม่ได้เจาะจงถามมาที่ผม หรือบางทีก็ถามทนายความบ้าง ถามกับคนทั่วไปบ้าง ผมก็เลยไม่รู้จะตอบทำไม เพราะผมก็ไม่ใช่ทนายความ
5. คำถามที่ใช้ถ้อยคำเหมือนกับว่าผมมีหน้าที่ต้องคอยรับใช้
6. คำถามที่จะต้องการการค้นคว้ามากมาย ถ้าถามมาในวันที่มีคำถามน้อย ก็พอจะไปค้นคว้ามาให้ได้ แต่ถ้าถามมาในวันที่มีคำถามมาก ก็สุดปัญญาจะไปค้นมาให้ได้
7. คำถามบางคำถาม ผมก็หมดปัญญาที่จะตอบให้ได้ เพราะไม่มีความรู้ ครั้นจะไม่นำขึ้น ก็จะส่งเข้ามาซ้ำ ๆ เพราะคนถามนึกว่าไม่ได้รับ
ที่บอกว่า "นึกไปนึกมาสงสารคนถาม" น่ะ แล้วไม่สงสารคนตอบบ้างหรือ ในเมื่อคนถามถามกันมาทั้งเมืองในเรื่องร้อยแปด แต่คนตอบน่ะ มีคนเดียว บางทีก็ต้องนั่งตอบจนดึกดื่น บางทีเจอคำถามที่มีลักษณะเอาแต่ได้ ก็ต้องนั่งตั้งสติ คลายอารมณ์ เสียก่อน แต่แม้กระนั้นถ้าเห็นว่าเป็นคำถามที่น่าจะเดือดร้อนจริง ก็ยังตอบให้หลังจากที่ตั้งสติได้แล้ว
มีชัย ฤชุพันธุ์ 10 มิถุนายน 2548 |