ดิฉันแต่งงานจดทะเบียนสมรสโดยถูกต้องตามกฏหมายอยู่กินกันมาสิบกว่าปี สามีดิฉันดุด่า ดูหมิ่นเหยียดหยามดิฉันตลอดเวลาที่อยู่กันมา บางครั้งก็ด่าไปถึงบุพการีดิฉันด้วย ดิฉันสู้อดทนเสมอมา
ห้าหกปีหลังนี้ เขาด่าว่าดิฉันรุนแรงมากจนทนไม่ได้ ดิฉันจึงพยายามพึ่งตัวเองโดยการหางานทำ และลงทุนทำธุรกิจกับเพื่อนรุ่นน้อง ซึ่งเขาก็ห้ามปรามกลั่นแกล้งดิฉันไม่ให้ทำธุรกิจได้ราบรื่น รวมทั้งถอดทิ้งไม่ช่วยดูแลลูกเลยเพื่อให้ดิฉันลำบากจะได้เลิกทำธุรกิจ ต่อมาเขาก็ไม่ให้เงินดิฉันใช้ อ้างว่าดิฉันมีรายได้แล้ว เจตนาคงจะให้ดิฉันลำบากจนทนไม่ไหวจะต้องกลับไปพึ่งเขาอีก แต่ดิฉันก็อดทนหอบลูกคนเล็กไปที่ทำงานด้วยและเลี้ยงดูอย่างดี รับส่งลูกคนโตไปเรียนทุกวัน เสาร์อาทิตย์ก็ส่งไปเรียนพิเศษ เรียนเทนนิส
ตอนนี้ดิฉันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทุกอย่าง ทั้งค่าเล่า้เรียนลูก ค่าน้ำค่าไฟ รวมถึงอาหารการกินที่สามีดิฉันกินด้วยดิฉันก็เป็นคนออกเงิน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังด่าว่าดิฉันอยู่เป็นประจำ ตอนนี้ดิฉันคิดว่าสามารถพึ่งตัวเองได้เลี้ยงลูกทั้งสองได้ดีพอสมควร จึงคิดว่าจะขอหย่าขาดจากเขาเสียที ลูกทั้งสองคนนั้นดิฉันรักมาก เพราะผูกพันอยู่ด้วยกันมาตลอด ลูกคนโตช่วยกิจการฉันได้บ้างเพราะอยู่ ม.1แล้วตอนนี้ ส่วนคนเล็กตอนนี้ป.2 ก็ช่วยเฝ้าร้า้นได้ เราสามคนรักและผูกพันกันมากเพราะลำบากมาด้วยกัน จึงไม่มีใครอยากไปอยู่กับพ่อเขาเลย
เมื่อคุยกับสามีเรื่องหย่า ดิฉันขอเพียงลูกสองคนเท่านั้น ค่าเลี้ยงดูก็ไม่เอา บ้านและทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อเขาดิฉันก็ไม่เอา ดิฉันจะเอาทรัพย์สินที่ดิฉันหาได้จากธุรกิจของตัวเองเท่านั้น ซึ่งเรื่องทรัพย์สินนั้นสามีดิฉันตกลง แต่เรื่องลูกนั้นเขาต้องการเอาไปหนึ่งคน ซึ่งดิฉันไม่สามารถให้ได้จริงๆ เพราะดิฉันเลี้ยงดูผูกพันร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด และเด็กทั้งสองก็รักกันมาก การจะแยกจากันนั้นให้ดิฉันตายเสียดีกว่า
ดิฉันควรทำอย่างไรดี ที่ไม่ต้องทนเขาด่าว่าอีก และสามารถหย่าขาดจากเขาได้ โดยได้ลูกทั้งสองด้วย
ขอบคุณมากค่ะ
เมื่อตกลงกันไม่ได้ ก็คงต้องดำเนินการฟ้องหย่า โดยบรรยายให้ศาลเห็นถึงพฤติกรรมของสามีอย่างที่เล่ามาให้ฟัง ที่สำคัญควรหาพยานหลักฐานไว้ให้พร้อม เพื่อในเวลาที่ศาลตัดสินให้หย่า ศาลจะได้มองเห็นความสำคัญของการที่ลูกจะอยู่กับแม่ต่อไปได้ทั้งสองคน โดยเฉพาะลูกซึ่งโตพอรู้เรื่องแล้ว ปกติศาลมักจะถามความสมัครใจของเด็กประกอบด้วย