ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    013947 ปัญหาการครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยการซื้อแต่มิได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรและมิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใดนิสิต นิติศาสตร์ มสธ ปี110 พฤษภาคม 2548

    คำถาม
    ปัญหาการครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยการซื้อแต่มิได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรและมิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์แต่อย่างใด

    นายศิริ มงคล ผู้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ได้ตกลงขายที่ดินของตนเองแก่ นางบุญ โปรศุนย์ โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือใดๆเลย เนื่องจากทั้งสองเป็นญาติพี่น้องกัน โดยที่ นายศิริ มงคล มีศักดิ์เป็นหลานของนางบุญ โปรศุนย์ เมื่อถึงเวลา นายศิริ มงคล ก็ได้ยื่นเรื่องขอแบ่งที่ดินที่จะขายให้แก่ นางบุญ โปรศูนย์ ต่อสำนักงานที่ดินอำเภอแก่งคอย โดยแบ่งเป็นโฉนด จำนวน 2 แปลง โดยที่แปลงแรกมีเนื้อที่  100 ตารางวา แปลงที่สองมีเนื้อที่ ประมาณ 140 ตารางวา แต่ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ ยังเป็นชื่อตนเองอยู่ คือ นายศิริ มงคล นั่นเอง จากนั้น นายศิริ มงคล ได้นำเอกสารสิทธิดังกล่าวทั้งสองฉบับมอบให้ นางบุญ โปรศูนย์  นางบุญ โปรศูนย์ ก็รับเอาเอกสารสิทธินั้น เมื่อได้รับเอกสารสิทธิดังกล่าวแล้ว นางบุญ โปรศูนย์ ก็มอบเงินค่าที่ดินทั้งสองแปลง แก่ นายศิริ มงคล เป็นเงินจำนวน ประมาณ 300,000 บาท (สามแสนบาท) โดยที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือเช่นกัน เนื่องจากความไว้เนื้อเชื่อใจที่มีต่อกัน

    จากนั้น นางบุญ โปรศูนย์  ได้เข้ามาปลูกสร้างบ้านในที่ดินทั้งสองแปลง โดยปลูกเป็น 1 หลัง ต่อ ที่ดิน 1 แปลง เมื่อการปลูกสร้างแล้วเสร็จ นางบุญ โปรศูนย์ ก็ได้ย้ายเข้ามาอยู่อาศัย โดย นางบุญ โปรศูนย์ และหลานสาว 1 คน(ลูกสาวของบุตรชาย) ได้เข้าอยู่ในบ้านหลังที่ปลูกสร้างบนที่ดินแปลงที่มีเนื้อที่ 140 ตารางวา ส่วนอีกหนึ่งหลังที่ปลูกสร้างบนที่ดินแปลงที่มีเนื้อที่ 100 ตารางวา นางบุญ โปรศูนย์ ได้ยกให้หลานๆ (ลูกของบุตรสาว) ทั้งหมด จำนวน 6 คน เข้ามาอยู่อาศัย  โดยที่มิได้มีการบอกกล่าวหรือแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านแต่อย่างใด มีเพียงการขอย้าย มิเตอร์วัดไฟของการไฟฟ้า จากบ้านเก่าที่หลานทั้ง 6 คน เคยอาศัยอยู่ ที่อยู่ห่างจากบ้านหลังใหม่ ที่นางบุญ โปรศูนย์ เป็นผู้สร้างบนที่ดินพิพาทแปลงที่มีเนื้อที่ 100 ตารางวา เป็นระยะทาง 300 เมตร โดยประมาณ และมีการขอติดตั้งมิเตอร์วัดไฟใหม่ โดยขอติดตั้งที่บ้านหลังที่ นางบุญ โปรศูนย์ อยู่อาศัยกับหลานสาว โดยระยะเวลาที่เหตุดังกล่าวเกิดขึ้น อยู่ในช่วง เดือน มกราคม ถึง เดือน พฤษภาคม 2538

                    หลังจากนั้น นางบุญ โปรศูนย์ และหลานๆ ก็ได้อยู่อาศัยในบ้านทั้งสองหลังเรื่อยมาจนกระทั่ง นายศิริ มงคล เสียชีวิตลง นางจุ๋ม มงคล ภรรยาของ นายศิริ มงคล ก็ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเข้าเป็นผู้จัดการมรดก แต่ก็มิได้กระทำการใดๆกับ ที่ดินทั้งสองแปลง แล้วนางจุ๋ม มงคล ก็ได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่น จากนั้นก็ขาดการติดต่อกันกับนางบุญ โปรศูนย์ แต่นางบุญ โปรศูนย์กับหลานก็อยู่อาศัยในบ้านสองหลังบนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงเรื่อยมา โดยสงบ ไม่มีการฟ้องร้องหรือขับไล่แต่อย่างใด คาดว่านางจุ๋ม มงคล เอง ก็รู้ว่าสามีของตน (นายศิริ มงคล เสียชีวิตแล้ว)จึงมิได้กระทำการใดๆ และการอยู่อาศัยในบ้านของนางบุญ โปรศูนย์ และหลานๆ ก็เป็นที่เปิดเผย เป็นที่รับรู้แก่บุคคลทั่วไป ว่า นางบุญ โปรศูนย์ กับหลานๆ อยู่อาศัยในบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินที่ซื้อจาก นายศิริ มงคล จนกระทั่ง นางบุญ โปรศูนย์ เสียชีวิตลง ก็ไม่ได้รับการติดต่อจากนางจุ๋ม มงคล ว่าจะจัดการเรื่องที่ดินดังกล่าวอย่างไร บรรดาหลานๆที่มีชีวิตอยู่ก็คงยังอาศัยอยู่ในบ้านทั้งสองหลังเรื่อยมา โดยสงบและเปิดเผยดังเช่นเคย ที่นางบุญ โปรศูนย์ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ยังไม่มีหลานๆคนใด ยื่นขอต่อศาลเพื่อเป็นผู้จัดการมรดก ภายหลังทราบว่า นางจู๋ม มงคล เสียชีวิตลง แต่ก็ไม่มีผู้ใดดำเนินการเกี่ยวกับที่ดินทั้งสองแปลงเช่นเดิม บรรดาหลานๆของ นางบุญ โปรศูนย์ ก็ยังคงอาศัยอยู่กันต่อไป โดยสงบและเปิดเผยเช่นเคย

                    จนกระทั่งเวลาผ่านมา 10 ปี (พฤษภาคม 2548) ได้มีผู้ติดต่อเข้ามายังบรรดาหลานๆของ นางบุญ โปรศูนย์ ว่าตนเองได้ซื้อที่ดินแปลงที่มีเนื้อที่ 140 ตารางวา ที่ เดิมนางบุญ โปรศูนย์ อยู่อาศัยกับหลานสาว จากทายาทของนางจุ๋ม มงคล เป็นเงิน 160,000 บาท ขอให้ผู้ที่อยู่อาศัย(หลานสาวของ นางบุญ โปรศูนย์ ) ย้ายออก เนื่องจากได้รับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ในขณะที่ที่ดินอีกหนึ่งแปลงที่มีเนื้อที่ 100 ตารางวา ก็ไม่ทราบว่าเอกสารสิทธิ์อยู่ที่ใด

    คำถามที่เกิดจากปัญหา มีดังนี้

                    1.   บรรดาหลานๆของ นางบุญ โปรศูนย์ สามารถอ้างสิทธิครอบครองปรปักษ์ ในที่ดินทั้งสองแปลงได้หรือไม่ เพียงใด

                    2.   การนับสิทธิได้อายุความการครอบครองปรปักษ์ ในกรณีข้างต้นนี้ เริ่มเมื่อใด จึงจะถูกต้อง ต้องอาศัยพยานหลักฐาน ลายลักษณ์อักษร หรือไม่ เพียงใด (จากการหาข้อมูลบ้างแล้วพบว่าไม่มีพยานที่เป็นลายลักษณ์อักษรเลย)

                     การหาข้อมูลที่อยู่ในส่วนที่เป็นข้อมูลทางทะเบียนในส่วนของราชการ เช่น สำนักงานที่ดิน หรือ การไฟฟ้า มีความจำเป็นหรือไม่  สำคัญเพียงใด  และขอบเขตของการขอทราบข้อมูลมีเพียงใด

                    3.  หากได้สิทธิการครอบครองปรปักษ์ตามหลักเกณฑ์แล้ว จะยกขึ้นต่อสู้กับผู้ใดได้หรือไม่ เพียงใด

                    4.   บรรดาหลานๆของ นางบุญ โปรศูนย์ ต้องยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเป็นผู้รับมรดก( สืบเชื้อสายเป็นทายาทโดยสายเลือด)หรือไม่ อย่างไร หากเป็นมรดก มรดกดังกล่าวคืออะไร

                    5.   การครอบครองปรปักษ์ในที่ดินดังกล่าว ผู้ได้สิทธิดังกล่าวเฉพาะนางบุญ เพียงผู้เดียว หรือรวมถึงบรรดาหลานๆของนางบุญ โปรศูนย์ ที่อยู่อาศัยกันบนที่ดินพิพาทดังกล่าวด้วย หรือไม่ อย่างไร

                    6.   หากได้สิทธิการครอบครองปรปักษ์ตามหลักเกณฑ์แล้ว (ครบ 10 ปี) ควรกระทำการเช่นใดก่อน หรือลำดับการดำเนินการควรเป็นเช่นไร อย่างไร จึงจะเหมาะสม