น.ส.จ. อาศัยอยู่กับบิดามารดา ตั้งแต่เกิดจนปัจจุบันอายุได้ 52 ปี โดยมีบิดาเป็นเจ้าบ้าน น.ส.จ.เป็นผู้อาศัย ก่อนบิดาเสียชีวิตได้เอ่ยปากยกบ้านให้ น.ส. จ.โดยที่ตนเองไม่ทราบว่าจะเสียชีวิต แต่บิดาได้เสียชีวิตลงเสียก่อน น.ส.จ. จึงอยู่กับมารดาต่อมาอีกประมาณ 10 กว่าปี 4 ปีก่อนมารดาเสียชีวิต น.ส.จ ได้ลาออกจากราชการ และได้ปรนิบัติมารดาเต็มที่ ก่อนมารดาเสียชีวิตไม่นาน ปรากฏกว่า นาง ส. ซึ่งเป็นพี่สาวของ น.ส.จ. ได้แต่งงานและแยกครอบครัวไปอยู่ใกล้ๆ บ้านของบิดามารดา และได้อาศัยบ้านของบิดามารดาเป็นที่ค้าขาย ก่อนมารดาเสียชีวิต นาง ส.ได้ขอบ้านจากมารดา มารดาก็ยกให้ด้วยวาจา ภายหลังจากมารดาเสียชีวิตได้ไม่นาน น.ส.จ. และ นาง ส.ได้ทะเลาะกันอย่างรุนแรง น.ส.จ.จึงไม่ยอมให้ นาง ส.ครอบครองบ้านแต่ผู้เดียว เพราะถือว่าบิดามีเจตนายกให้ตนก่อนทั้งหลัง และตนเองได้ปรนิบัติทั้งบิดามารดาดีกว่านาง ส. ตนเองจึงขอแบ่งบ้านคนละครึ่ง แต่นาง ส.ไม่ยอม อ้างแต่คำสั่งของมารดาก่อนเสียชีวิต นอกจากนี้ยังมีบุตรบางคนเห็นว่า นาง ส.ควรได้ครอบครองบ้านทั้งหลัง ยกเว้นบุตรบางคนเห็นว่าสมควรแบ่งคนครึ่ง เพราะว่าบ้านหลังนี้เป็นมรดกของบิดามารดา ไม่ใช่เป็นของมารดาแต่เพียงผู้เดียว และด้วยเหตุผลที่ น.ส.จ ได้ปรนนิบัติบิดามารดาดีกว่า นาง ส.ดังกล่าวไว้ข้างต้น นาง ส.ได้ทำการปรับปรุงบ้านไปบางส่วน เมื่อ น.ส.จ.ทราบก็ได้ห้ามมิให้ปรับปรุงต่อ (น.ส. จ. มีบ้านอีกหลังหนึ่ง เช่นเดียวกัน นาง ส.) ใคร่ถามอาจารย์ว่า ถ้านาง ส.เข้าไปอยู่บ้านหลังนี้ โดยทางพฤตินัยเพราะว่าบ้านหลังนี้ มีชื่อเฉพาะ น.ส. จ. อยู่ในทะเบียนบ้านแต่เพียงผู้เดียว นาง ส.สามารถฟ้องครอบครองปรปักษ์ ในภายหน้าได้หรือไม่ เพราะปัจจุบันนี้ น.ส. จ. ไม่ยอมให้ นาง ส.เข้ามามีชื่ออยู่ในทะเบียบ้านหลังนี้ ถ้า นาง ส.สามารถฟ้องครอบครองปรปักษได้ ต้องใช้เวลานานเพียงใด
ขอขอบพระคุณอาจารย์มาล่วงหน้าค่ะ
การยกให้ด้วยวาจา ไม่มีผลอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อเจ้าของทรัพย์ตายไป ทรัพย์นั้นย่อมตกไปยังทายาทโดยธรรม ซึ่งในกรณีนี้ได้แก่ น ส.จ. และนาง ส.ได้คนละเท่า ๆ กัน ทางที่ดีจึงควรตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันเสียให้เรียบร้อย
การครอบครอบปรปักษ์อาจเกิดขึ้นได้เมื่อมีการครอบครองจริง (แม้จะไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน) และเมื่อครอบครองไปจนครบ ๑๐ ปี แล้ว ก็อาจได้กรรมสิทธิ์ได้