ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    013262 ประชุมครม.กมลชนก1 มีนาคม 2548

    คำถาม
    ประชุมครม.

    มี2 คำถามค่ะ คำถามแรก ทราบว่าอาจารย์เป็นผู้ตรวจร่างพระราชกฤษฎีกาการเสนอเรื่องและการประชุมครม.ที่อาจารย์บวรศักดิ์ อุวรรณโณเป็นคนชงเรื่องนี้ และกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ในเรื่องของความถูกต้องทางวิชาการและเกรงว่าจะเป็นการเพิ่มอำนาจให้นายกฯ ในมุมมองของอาจารย์มีชัย ทั้งในฐานะนักกฎหมาย และอดีตรัฐมนตรีในสมัยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตามที่อาจารย์บวรศักดิ์ อ้างถึงว่าคยมีการประชุมครม.ในแบบฉุกเฉินมาแล้ว อาจารย์มีชัยมีความเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ

    และคำถามที่ 2 ถ้าไม่ออกเป็นพระราชกฤษฎีกา จะลดข้อครหาได้มากกว่านี้หรือไม่ หรือว่าพวกส.ว.และนักวิชาการหวาดระแวงกันไปเอง ทั้งที่อาจารย์บวรศักดิ์ท่านก็ยืนยันว่าร่างกฎหมายฉบับนี้จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินโปร่งใสขึ้น ขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ

    คำตอบ

     

          1. ที่ทราบมาว่าผมเป็นผู้ตรวจร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวนั้น อาจจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย เพราะจริง ๆ แล้ว ร่างดังกล่าวคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตรวจ และบังเอิญผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น  เดี๋ยวกรรมการท่านอื่นท่านจะโกรธหรือน้อยใจเอา

          2. ร่างกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า นำทางปฏิบัติของคณะรัฐมนตรีที่ทำอยู่มาเขียนไว้เสียให้เป็นหลักฐาน เรื่องที่ทำกันอยู่มีดังนี้

          (๑) ใครจะรู้บ้างหรือไม่ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้นไม่เคยมีองค์ประชุมมาก่อน  ถ้าใครเคยนั่งอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในเวลาที่เปิดประชุม เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะไม่เคยบอกต่อที่ประชุมว่า "บัดนี้รัฐมนตรีมาครบองค์ประชุมแล้ว"   เพราะไม่เคยมีการกำหนดองค์ประชุม  เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเรียนต่อที่ประชุมว่า "บัดนี้รัฐมนตรีมาพอสมควรแล้ว จึงขอเชิญท่านนายกรัฐมนตรีเปิดประชุมต่อไป" อะไรทำนองนี้

          (๒) ในเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นเรื่องรีบด่วนหรือเป็นเรื่องลับ การดำเนินการใด ๆ มักจะจำกัดอยู่แต่เฉพาะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่คน เช่น ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวค่าเงินบาท จะมีคนร่วมประชุมกันอยู่แต่เฉพาะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอาจจะมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหรือดูแลเศรษฐกิจอีกสักคนสองคนเท่านั้น หรือในสมัยก่อนที่ไม่ได้ปล่อยให้น้ำมันลอยตัวอย่างปัจจุบัน เวลาจะขึ้นราคาน้ำมัน ก็ประชุมกันอยู่เพียงไม่กี่คน หรือในเวลาที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพราะมีเหตุอันตรายใดเกิดขึ้น ก็ประชุมกันอยู่เพียง 3-4 คน บางเรื่องบางราว ผมนั่งอยู่ในทำเนียบแท้ ๆ ยังไม่รู้เลยว่ามีการประชุมกัน ยิ่งในกรณีที่จะมีการประกาศยุบสภาอาจมีหรือไม่มีรัฐมนตรีคนอื่นร่วมรับรู้เลยด้วยซ้ำไป ดูตอนคุณบรรหารยุบสภาเป็นต้น รัฐมนตรีทั้งคณะไม่มีใครรู้เลย เพราะถ้ารู้ก็คงดำเนินการยุบสภาไม่ได้

           (๓) มีกฎหมายเป็นจำนวนมากกำหนดให้เรื่องไม่เป็นเรื่องต้องเสนอคณะรัฐมนตรี แต่คณะรัฐมนตรีก็เหนื่อยหน่ายที่จะดูเรื่องเหล่านั้น  ในที่สุดจึงมีมติมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติแทน แล้วมาแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ และก็ทำกันมาทุกรัฐบาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

           (๔) ถ้าว่าโดยรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญเหนือรัฐมนตรีทั้งหลายอย่างเต็มที่ ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้  ด้วยอำนาจเช่นว่านั้น นายกรัฐมนตรีจึงสามารถสั่งการเป็นการภายในต่อรัฐมนตรีให้ทำหรือไม่ทำอะไรได้ตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรอยู่แล้ว โดยนายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ได้เป็นคนทำหรืองดเว้นการกระทำการนั้น หากแต่รัฐมนตรีเป็นผู้ทำหรืองดเว้นการกระทำ  แต่ตามพระราชกฤษฎีกานี้ ถ้านายกรัฐมนตรีอยากทำอะไรเช่นนั้น นายกรัฐมนตรีก็จะทำด้วยความรับผิดชอบของตนเอง บรรดา ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ปปช.ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการของรัฐสภา และสภาทั้งสอง ก็จะสามารถตรวจสอบนายกรัฐมนตรีโดยตรง  อาจมีคนบอกว่า ก็ตอนนี้ฝ่ายค้านมีจำนวนไม่พอที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ จะทำอย่างไร  คำตอบก็คือ สมาชิกสภาเพียงคนสองคนก็สามารถทำหนังสือกล่าวหาต่อองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบต่าง ๆ ดังกล่าวได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือไปยื่นผ่านวุฒิสภา ที่ผ่านมาลำพังคุณอลงกรณ์คนเดียว ยังทำหนังสือกล่าวหาใครต่อใครตั้งหลายคนต่อ ปปช.ได้ บางเรื่องก็ทำท่าว่าจะมีคนติดคุกเอาด้วยซี

           (๕) ที่เกรงกันว่าพระราชกฤษฎีกานี้จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้นายกรัฐมนตรี นั้น ถ้ามองกันแต่ตัวหนังสือก็อาจจะดูเป็นเช่นนั้นได้  แต่ถ้ามองกันตามข้อเท็จจริง แล้ว ไม่คิดกันหรือว่าในทางปฏิบัตินายกรัฐมนตรีมีอำนาจเช่นว่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ต้องรับผิดชอบคนเดียว ไม่ต้องดูอื่นดูไกล การจะออกพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งเป็นการกำหนดระเบียบวิธีการในการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบทั้งในหลักการและในรายละเอียดจากคณะรัฐมนตรีก่อน คณะรัฐมนตรียังพร้อมใจกันให้ความเห็นชอบ โดยไม่มีข้อท้วงติงใด ๆ  

          3.  ที่ถามว่าถ้าไม่ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้วจะลดข้อครหาลงได้หรือไม่  นั้น เข้าใจว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะพระราชกฤษฎีกานี้ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  คนที่เขาทักท้วง เขาไม่ได้ทักท้วงรูปแบบของการออกกติกา แต่เขาทักท้วงในเนื้อหาของกติกา  ซึ่งก็ไม่น่าจะไปตระหนกหรือเดือดร้อนอะไรนักกับคำทักท้วงหรือคำวิจารณ์เหล่านั้น เพราะว่าที่จริงก็ต้องยอมรับกันว่าโดยตัวของนายกรัฐมนตรีเองนั้นมีอำนาจมากอยู่แล้ว ทั้งในทางกฎหมายและในทางการเมือง ยิ่งเป็นคนใจร้อน อยากทำอะไรก็อยากทำให้ได้ดังใจโดยเร็ว ซึ่งคนไทยโดยทั่ว ๆ ไปยังไม่คุ้นเคยนัก  จึงเป็นของธรรมดาที่อาจมีคนกริ่งเกรงไปว่านายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจนั้นทำให้คนเดือดร้อนหรือผิดหลักนิติธรรม หรือทำให้ประเทศเสียหายได้ ทางแก้ไขจึงไม่ใช่การออกไปตอบโต้ (ถ้าจำเป็นจะต้องชี้แจงก็ชี้แจงเพียงหอมปากหอมคอ) หากแต่ให้ความอุ่นใจด้วยการกระทำที่ไม่เป็นการลุแก่อำนาจ เพราะตามพระราชกฤษฎีกาก็ได้กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้พอสมควรแล้ว  คนที่เขาวิจารณ์นั้น เขาก็ใช้สิทธิของเขา ถ้าดีมีประโยชน์ก็เก็บไปใช้หรือเก็บไว้เตือนสติก็ยังดี ถ้าคำวิจารณ์นั้นไม่เข้าท่า ก็ต้องทำใจให้เกิด "วิมุติ" และแผ่เมตตาให้ไป

           4. ต้องยอมรับกันว่าคนไทยนั้นมีความเข้าใจใน "ประชาธิปไตย" ที่อาจจะแตกต่างไปจากประเทศต้นแบบทั้งหลาย 

            - ในขณะที่เราอยากได้รัฐบาลพรรคเดียวเพื่อให้เกิดความเข้มแข้งและต่อเนื่อง จนอุตส่าห์วางเกณฑ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกแรงมาเดินขบวนกันเต็มท้องถนนเพื่อขู่มิให้ใครไปแตะต้องเกณฑ์ที่วางไว้  ครั้นพอได้รัฐบาลพรรคเดียวอย่างท่วมท้น ก็เริ่มเกิดความเกรงกลัวและหวั่นใจว่าจะมีการใช้อำนาจไปตามลำพัง ไม่ฟังเสียงใคร

            - ในขณะที่ชื่นชมกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ การคุ้มครองคนด้อยโอกาส คนยากคนจน  ครั้นพอรัฐบาลทำตามแนวนโยบายนั้น ก็เกิดความห่วงใยว่า จะทำให้ประชาชนเกิดความเคยตัว เสียวินัยทางเศรษฐกิจ

             - ในขณะที่สร้างกติกาให้ฝ่ายค้านอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้ยาก เพื่อไม่อยากให้นายกรัฐมนตรีถูกอภิปรายเป็นรายวัน  ครั้นพอฝ่ายค้านได้เสียงมาไม่เพียงพอ ก็เกิดความห่วงใยกังวลว่าแล้วฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร

             "ความเข้าใจ" "ความอยาก" "ความกังวล" ต่าง ๆ เหล่านั้น จะถูกหรือผิดก็ไม่รู้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และเรา ซึ่งหมายถึงทุกฝ่าย ย่อมจะต้องอยู่กับมันต่อไปอย่างอดทน เพราะตอนร่างรัฐธรรมนูญนั้น คณะผู้ร่างอาจเข้าใจว่าคนไทยเป็นคนฝรั่งเศสบ้าง เป็นเยอรมันบ้าง เป็นอังกฤษบ้าง เป็นอเมริกันบ้าง  ครั้นพอเอาเข้าจริง ๆ คนไทยก้คือคนไทยที่ไม่ค่อยเหมือนใคร  ทุกฝ่ายจึงต้องอดทนและเห็นใจกันและกัน จนกว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญหรือกติกาที่เหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    1 มีนาคม 2548