1. ที่ทราบมาว่าผมเป็นผู้ตรวจร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวนั้น อาจจะคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย เพราะจริง ๆ แล้ว ร่างดังกล่าวคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นผู้ตรวจ และบังเอิญผมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น เดี๋ยวกรรมการท่านอื่นท่านจะโกรธหรือน้อยใจเอา
2. ร่างกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า นำทางปฏิบัติของคณะรัฐมนตรีที่ทำอยู่มาเขียนไว้เสียให้เป็นหลักฐาน เรื่องที่ทำกันอยู่มีดังนี้
(๑) ใครจะรู้บ้างหรือไม่ว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีนั้นไม่เคยมีองค์ประชุมมาก่อน ถ้าใครเคยนั่งอยู่ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ในเวลาที่เปิดประชุม เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะไม่เคยบอกต่อที่ประชุมว่า "บัดนี้รัฐมนตรีมาครบองค์ประชุมแล้ว" เพราะไม่เคยมีการกำหนดองค์ประชุม เลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะเรียนต่อที่ประชุมว่า "บัดนี้รัฐมนตรีมาพอสมควรแล้ว จึงขอเชิญท่านนายกรัฐมนตรีเปิดประชุมต่อไป" อะไรทำนองนี้
(๒) ในเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่เป็นเรื่องรีบด่วนหรือเป็นเรื่องลับ การดำเนินการใด ๆ มักจะจำกัดอยู่แต่เฉพาะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่คน เช่น ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวค่าเงินบาท จะมีคนร่วมประชุมกันอยู่แต่เฉพาะนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และอาจจะมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องหรือดูแลเศรษฐกิจอีกสักคนสองคนเท่านั้น หรือในสมัยก่อนที่ไม่ได้ปล่อยให้น้ำมันลอยตัวอย่างปัจจุบัน เวลาจะขึ้นราคาน้ำมัน ก็ประชุมกันอยู่เพียงไม่กี่คน หรือในเวลาที่จะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพราะมีเหตุอันตรายใดเกิดขึ้น ก็ประชุมกันอยู่เพียง 3-4 คน บางเรื่องบางราว ผมนั่งอยู่ในทำเนียบแท้ ๆ ยังไม่รู้เลยว่ามีการประชุมกัน ยิ่งในกรณีที่จะมีการประกาศยุบสภาอาจมีหรือไม่มีรัฐมนตรีคนอื่นร่วมรับรู้เลยด้วยซ้ำไป ดูตอนคุณบรรหารยุบสภาเป็นต้น รัฐมนตรีทั้งคณะไม่มีใครรู้เลย เพราะถ้ารู้ก็คงดำเนินการยุบสภาไม่ได้
(๓) มีกฎหมายเป็นจำนวนมากกำหนดให้เรื่องไม่เป็นเรื่องต้องเสนอคณะรัฐมนตรี แต่คณะรัฐมนตรีก็เหนื่อยหน่ายที่จะดูเรื่องเหล่านั้น ในที่สุดจึงมีมติมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติแทน แล้วมาแจ้งให้คณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งทำกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ และก็ทำกันมาทุกรัฐบาลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
(๔) ถ้าว่าโดยรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญนี้ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจตามรัฐธรรมนูญเหนือรัฐมนตรีทั้งหลายอย่างเต็มที่ ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ ด้วยอำนาจเช่นว่านั้น นายกรัฐมนตรีจึงสามารถสั่งการเป็นการภายในต่อรัฐมนตรีให้ทำหรือไม่ทำอะไรได้ตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรอยู่แล้ว โดยนายกรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะไม่ได้เป็นคนทำหรืองดเว้นการกระทำการนั้น หากแต่รัฐมนตรีเป็นผู้ทำหรืองดเว้นการกระทำ แต่ตามพระราชกฤษฎีกานี้ ถ้านายกรัฐมนตรีอยากทำอะไรเช่นนั้น นายกรัฐมนตรีก็จะทำด้วยความรับผิดชอบของตนเอง บรรดา ผู้ตรวจเงินแผ่นดิน ปปช.ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการของรัฐสภา และสภาทั้งสอง ก็จะสามารถตรวจสอบนายกรัฐมนตรีโดยตรง อาจมีคนบอกว่า ก็ตอนนี้ฝ่ายค้านมีจำนวนไม่พอที่จะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ จะทำอย่างไร คำตอบก็คือ สมาชิกสภาเพียงคนสองคนก็สามารถทำหนังสือกล่าวหาต่อองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบต่าง ๆ ดังกล่าวได้ โดยไม่จำเป็นต้องเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือไปยื่นผ่านวุฒิสภา ที่ผ่านมาลำพังคุณอลงกรณ์คนเดียว ยังทำหนังสือกล่าวหาใครต่อใครตั้งหลายคนต่อ ปปช.ได้ บางเรื่องก็ทำท่าว่าจะมีคนติดคุกเอาด้วยซี
(๕) ที่เกรงกันว่าพระราชกฤษฎีกานี้จะเป็นการเพิ่มอำนาจให้นายกรัฐมนตรี นั้น ถ้ามองกันแต่ตัวหนังสือก็อาจจะดูเป็นเช่นนั้นได้ แต่ถ้ามองกันตามข้อเท็จจริง แล้ว ไม่คิดกันหรือว่าในทางปฏิบัตินายกรัฐมนตรีมีอำนาจเช่นว่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ต้องรับผิดชอบคนเดียว ไม่ต้องดูอื่นดูไกล การจะออกพระราชกฤษฎีกานี้ ซึ่งเป็นการกำหนดระเบียบวิธีการในการประชุมของคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบทั้งในหลักการและในรายละเอียดจากคณะรัฐมนตรีก่อน คณะรัฐมนตรียังพร้อมใจกันให้ความเห็นชอบ โดยไม่มีข้อท้วงติงใด ๆ
3. ที่ถามว่าถ้าไม่ออกเป็นพระราชกฤษฎีกาแล้วจะลดข้อครหาลงได้หรือไม่ นั้น เข้าใจว่าไม่น่าจะเกี่ยวกัน เพราะพระราชกฤษฎีกานี้ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คนที่เขาทักท้วง เขาไม่ได้ทักท้วงรูปแบบของการออกกติกา แต่เขาทักท้วงในเนื้อหาของกติกา ซึ่งก็ไม่น่าจะไปตระหนกหรือเดือดร้อนอะไรนักกับคำทักท้วงหรือคำวิจารณ์เหล่านั้น เพราะว่าที่จริงก็ต้องยอมรับกันว่าโดยตัวของนายกรัฐมนตรีเองนั้นมีอำนาจมากอยู่แล้ว ทั้งในทางกฎหมายและในทางการเมือง ยิ่งเป็นคนใจร้อน อยากทำอะไรก็อยากทำให้ได้ดังใจโดยเร็ว ซึ่งคนไทยโดยทั่ว ๆ ไปยังไม่คุ้นเคยนัก จึงเป็นของธรรมดาที่อาจมีคนกริ่งเกรงไปว่านายกรัฐมนตรีจะใช้อำนาจนั้นทำให้คนเดือดร้อนหรือผิดหลักนิติธรรม หรือทำให้ประเทศเสียหายได้ ทางแก้ไขจึงไม่ใช่การออกไปตอบโต้ (ถ้าจำเป็นจะต้องชี้แจงก็ชี้แจงเพียงหอมปากหอมคอ) หากแต่ให้ความอุ่นใจด้วยการกระทำที่ไม่เป็นการลุแก่อำนาจ เพราะตามพระราชกฤษฎีกาก็ได้กำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้พอสมควรแล้ว คนที่เขาวิจารณ์นั้น เขาก็ใช้สิทธิของเขา ถ้าดีมีประโยชน์ก็เก็บไปใช้หรือเก็บไว้เตือนสติก็ยังดี ถ้าคำวิจารณ์นั้นไม่เข้าท่า ก็ต้องทำใจให้เกิด "วิมุติ" และแผ่เมตตาให้ไป
4. ต้องยอมรับกันว่าคนไทยนั้นมีความเข้าใจใน "ประชาธิปไตย" ที่อาจจะแตกต่างไปจากประเทศต้นแบบทั้งหลาย
- ในขณะที่เราอยากได้รัฐบาลพรรคเดียวเพื่อให้เกิดความเข้มแข้งและต่อเนื่อง จนอุตส่าห์วางเกณฑ์ไว้ในรัฐธรรมนูญ และออกแรงมาเดินขบวนกันเต็มท้องถนนเพื่อขู่มิให้ใครไปแตะต้องเกณฑ์ที่วางไว้ ครั้นพอได้รัฐบาลพรรคเดียวอย่างท่วมท้น ก็เริ่มเกิดความเกรงกลัวและหวั่นใจว่าจะมีการใช้อำนาจไปตามลำพัง ไม่ฟังเสียงใคร
- ในขณะที่ชื่นชมกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในเรื่องสิทธิและเสรีภาพ การคุ้มครองคนด้อยโอกาส คนยากคนจน ครั้นพอรัฐบาลทำตามแนวนโยบายนั้น ก็เกิดความห่วงใยว่า จะทำให้ประชาชนเกิดความเคยตัว เสียวินัยทางเศรษฐกิจ
- ในขณะที่สร้างกติกาให้ฝ่ายค้านอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้ยาก เพื่อไม่อยากให้นายกรัฐมนตรีถูกอภิปรายเป็นรายวัน ครั้นพอฝ่ายค้านได้เสียงมาไม่เพียงพอ ก็เกิดความห่วงใยกังวลว่าแล้วฝ่ายค้านจะเปิดอภิปรายนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร
"ความเข้าใจ" "ความอยาก" "ความกังวล" ต่าง ๆ เหล่านั้น จะถูกหรือผิดก็ไม่รู้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และเรา ซึ่งหมายถึงทุกฝ่าย ย่อมจะต้องอยู่กับมันต่อไปอย่างอดทน เพราะตอนร่างรัฐธรรมนูญนั้น คณะผู้ร่างอาจเข้าใจว่าคนไทยเป็นคนฝรั่งเศสบ้าง เป็นเยอรมันบ้าง เป็นอังกฤษบ้าง เป็นอเมริกันบ้าง ครั้นพอเอาเข้าจริง ๆ คนไทยก้คือคนไทยที่ไม่ค่อยเหมือนใคร ทุกฝ่ายจึงต้องอดทนและเห็นใจกันและกัน จนกว่าเราจะมีรัฐธรรมนูญหรือกติกาที่เหมาะกับคนไทยโดยเฉพาะ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
มีชัย ฤชุพันธุ์ 1 มีนาคม 2548 |