ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    013214 ความคิดเห็นท่ายมีชัยต่นโยบาย 3 สีคนเดินถนน22 กุมภาพันธ์ 2548

    คำถาม
    ความคิดเห็นท่ายมีชัยต่นโยบาย 3 สี

    เรียนท่านมีชัย

    ประเด็นร้อนประเด็นหนึ่ง ที่มีการพูดถึงใน ขณะนี้ คือ นโยบาย 3 สีของท่านนายก เรา ซึ่งอยาก จะใคร่ขอแชร์ความคิดเห็นที่มีต่อนโยบายดังกล่าวนี้

    ผมไม่ได้ ทั้งเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่ ผมเป็นพวกรอดูอะไรที่มันมากกว่านี้ คำว่า มากกว่านี้ นั้น ผมหมายถึง เรารับทราบกันเกี่ยวกับ นโยบาย 3 สี ใช่ไหม ครับ  แต่จิงๆ แล้ว นั้น ผม อยากถามว่า มีใครรู้ จริงๆ ว่า นโยบาย 3 สี ดังกล่าว ประกอบไปด้วย เรื่องอะไร บ้าง ซึ่งก้อต่างคาดการณ์ กันไปว่าอาจจะเป็นเรื่องของงบประมาณ แต่จริงๆแล้วคงไม่มีใครบอกได้ดีว่า ตัวท่านนายกเอง สาเหตุที่บอกไม่ได้ ผมเข้าใจว่า เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับความมั่นคงเพราะ ฉะนั้น การ ที่มันจะเป็นข่าวว่าต้องทำอย่างไรเพื่อให้ได้ผลอย่างไรนั้นคงจะไม่ดีเป็นแน่แท้  เพราะอย่าลืม ว่า คนที่เป็นคนก่อการกระทำไม่ดี เขาก็มีทีวี มี วิทยุใช้อินเตอร์เนต อย่างเราท่านๆ .... อันนี้ ต้องเห็นใจนายก ในส่วนที่ไม่สามารถ บอกความหมาย ของคำว่า 3 สี ให้ชัดเจนมากไปกว่า นี้   แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ด้วยความที่สังคมไทยเป็นสังคมที่ ค่อนข้างจะเสรีในด้านการรับฟังและแสดงความคิดเห็น ทำให้เกิดกระแสการต่อต้านและสนับสนุนที่ดูเหมือนจะรุนแรง  ทั้งนี้ทั้งนั้นอาจเนื่องมาจาก บุคลิกและท่าทีของท่านนายกเองที่แสดงออกถึงความแข็งกร้าว จนดูเหมือนว่า จะใช้ความรุนแรงเข้าแก้ปัญหา  นั่นอาจจะเป็นจุดทำให้ นักวิชาการหรือ ประชาชน บางส่วน ถึง บางส่วนนั้นอาจจะไม่ได้ลงคะแนนให้ท่านนายก หรือ พรรคไทยรักไทย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางส่วนนั้น ก็เป็นคนไทย มีสิทธิเสรีภาพตาม ที่จะแสดงถึงความคิดตามรัฐธรรมนูญ

    จึงๆ แล้วที่ผมรู้สึกห่วงไปมากกว่านั้น คือ การ ตอบโต้ระหว่าง คนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ ของประเทศ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้แบบเต็มปากว่า ภาคใต้ของเรารายได้หลักส่วนหนึ่ง เรามาจากกการท่องเที่ยว และเราเพิ่งโดนสึนามี มา เมื่อต้นปีและสถารณการณ์ ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนักการ วิพากษ์ วิจารณ์อย่างรุนแรงไปในแนวทางลบอาจจะเกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้  ( ต้องขอยืมคำพูดติดปากท่านนายกมาใช้ )  แต่ในขณะเดียวกันถ้าเราจะมาวิเคราะห์กันลึกๆ ถ้า ท่านนายก มีท่าทีประณประณอมมากกว่า นี้ปัญหาอาจจะไม่เกิดขึ้น ผม เข้าใจ ว่า การ พูดถึงเรื่องการแบ่งโซน มันเป็นปัญหามาก มันอ่อนไหวต่อความรู้สึก  ถ้าจำไม่ผิดในอดีตเราเคยมีนโยบาย เหล่านี้ทางทหารมาก่อน  เพียงแต่ไม่มีการบอกกล่าวว่ามันเป็นนโยบาย ดังนั้น มันจึงไม่กระทบถึงต่อ ความรู้สึกของคนมากนัก แต่ครั้งนี้ มันต่าง กันเพราะ มันออกมาจากปากท่านผู้นำของเราเอง มันจึง ทำให้เกิดการต่อยอดคิดไปกันใหญ่ ซึ่งจึงๆแล้วมันก้ออาจจะไม่ต่างอะไรกับนโยบายในอดีต ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมคิดว่า

    .."ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกฝ่ายน่าจะช่วยกัน แทนที่จะด่ากัน จำได้ไหมครับว่าครั้งหนึ่งเราเคบร่วมใจกันช่วยเพื่อ พี่น้องที่ประสบเคราะห์ภัยมาแล้ว ครั้งนี้ก็อาจจะไม่แตกต่างกันมากนัก แค่เพียงแค่เราลดทิฐิ เพิ่มความมานะ เพิ่ความเอาใจใส่ ปัญหา มันก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีได้แน่นอน ผมเชื่อเช่นนั้น " ..

    จึงเรียนมาเพื่อขอความเห็นท่านมีชัยต่อกรณ๊นี้

    ขอแสดงความนับถือ

    คำตอบ

    เรียน คนเดินถนน

          สิ่งที่คุณพูดมาก็จริงอยู่ คือ ตื้นลึกหนาบางทั้งหลายนายกย่อมรู้หรือมีข้อมูลดีกว่าคนทั่ว ๆ ไป เรื่องบางเรื่องจึงไม่อาจพูดให้กระจ่างได้อย่างที่คนทั่วไปอยากรู้ 

          แต่ความจริงดังกล่าวนายกรัฐมนตรีก็ต้องรู้ดีเช่นเดียวกันว่า เรื่องบางเรื่องไม่สามารถพูดได้ตลอด ดังนั้นการจะพูดเรื่องใด ๆ จึงต้องตระหนักเสียก่อนว่าจะสามารถพูดให้ตลอด หรือพูดให้คนทั่วไปฟังเข้าใจอย่างที่นายกฯต้องการให้เข้าใจได้หรือไม่  ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ต้องไม่พูด เพราะการไม่พูดของนายกรัฐมนตรีในบางเรื่อง เป็นผลดีกว่าการพูดมากนัก

         จริงอยู่ในยุคปัจจุบันเป็นยุคของความ "โปร่งใส" และเป็นยุคของ "การต้องการรู้ข้อมูลข่าวสาร" ของประชาชน  แต่หน้าที่และความรับผิดชอบของคนที่เป็นรัฐบาลที่มีต่อความอยู่รอดปลอดภัยของบ้่านเมืองไม่ว่าในด้านใด ๆ และความสงบสุขของประชาชน นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลา  ความโปร่งใสและการป้อนข้อมูลข่าวสาร จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้เหมือนอย่างคนทั่ว ๆ ไป  เช่น ถ้านายกเห็นว่าจำเป็นต้องปรับค่าเงินบาท ใครไปถามให้ตายอย่างไร จะอ้างสิทธิร้อยแปดพันเก้าอย่่างไร ก็ไม่สามารถบอกใครได้  ความโปร่งใสในที่นี้ ไม่ใช่อยู่ที่การออกมาเปิดเผยให้คนรู้ทั่วหน้ากัน หากแต่ความโปร่งใสกลับอยู่ที่การปิดให้มิด เฉพาะที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจึงจะรู้ได้  หรือถ้าเศรษฐกิจของประเทศกำลังไม่ดี  ต่อให้ฝ่ายค้านหรือนักวิชาการออกมาว่าอย่างไรก็ตาม นายกก็ต้องยืนยันว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังไปได้ด้วยดี  ส่วนจะแก้ไขแนวโน้มที่ไม่ดีอย่างไร ก็เป็นเรื่องหน้าที่ที่จะต้องทำไป

           คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้น มีศักดิ์ที่สำคัญที่เมื่อพูดอะไรแล้ว คนต้องเชื่อไว้ก่อน เมื่อใดที่พูดแล้วคนเขาไม่เชื่อหรือไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง ศักดิ์แห่งนายกรัฐมนตรีของประเทศย่อมจะหมดสิ้นไป  ดังนั้น การพูดของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นสิ่งสำคัญ  พูดเร็วเกินไปก็ไม่ดี พูดช้าเกินไปก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน   ตามหลักงานสารบรรณนั้น เมื่อใครมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี จะต้องลงท้ายด้วย "ของแสดงความนับถืออย่างยิ่ง"  ในขณะที่จดหมายที่มีถึงคนอื่น อย่างมากก็ลงท้ายด้วยคำว่า "ของแสดงความนับถืออย่างสูง"  เมื่อมีศักดิ์สูง ภาระหน้าที่และความอดกลั้นก็ย่อมต้องสูงตามไปด้วย คนอื่นๆ อาจจะมีสิทธิพูดเล่น พูดให้สะใจ หรือพูดด้วยอารมณ์โกรธได้ แต่นายกรัฐมนตรีกลัยไม่อาจทำอย่างนั้นได้

            การแบ่งพื้นที่ออกเป็นเขต เพื่อกำหนดความหนักเบาแห่งปัญหานั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อประโยชน์ในการบริหารปัญหา จะได้แก้ไขปัญหาแต่ละเขตได้ตรงจุดและถูกต้อง ซึ่งแต่ละเขตย่อมมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน  แต่การที่มีข่าวเป็นทำนองว่าถ้าเป็นเขตสีแดงก็จะตัดไม่ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน เพราะเกรงว่าจะนำเงินนั้นไปใช้ซื้ออาวุธมาก่อการร้าย นั่นแหละเป็นเหตุให้คนจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย   อันที่จริงการพัฒนาด้วยวิธีการให้เงินก้อนไปยังตำบลและหมู่บ้าน โดยเปิดโอกาสให้คณะกรรมการของตำบลหรือหมู่บ้านสามารถใช้เงินนั้นไปทำอะไรก็ได้นั้น อาจจะใช้ได้กับตำบลหรือหมู่บ้านที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความรุนแรง เพราะชาวบ้านจะสามารถใช้เงินนั้นไปแก้ไขปัญหาได้ตรงตามจุดของตน (แม้จะมีเสียงพูดถึงความรั่วไหลกันอยู่บ้างก็ตาม แต่ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างไร ก็มีการรั่วไหล กันอยู่ทุกระดับอยูดี)   แต่สำหรับตำบลหรือหมู่บ้านที่มีปัญหาอย่างภาคใต้ และยิ่งเป็นเขตที่ได้วิเคราะห์แล้วว่าเป็นจุดอันตราย การส่งเงินไปพัฒนาด้วยวิธีการดังกล่าว ก็อาจจะเสี่ยงอันตรายไม่น้อย   แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่ารัฐจะสามารถทอดทิ้งตำบลหมู่บ้านนั้นได้  เพราะคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีความคิดอ่านอย่างไร จะสอดคล้องกับรัฐบาลหรือไม่ ก็ต้องมีสิทธิได้รับการพัฒนาและการดูแลจากรัฐอย่างทัดเทียมกัน เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเดียวกัน   รัฐยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาอย่างทั่วถึง  ยิ่งที่ใดที่มีปัญหา และปัญหานั้นเกิดจากความไม่เข้าใจ หรือความขาดการพัฒนา รัฐยิ่งจะต้องทุ่มเทงบประมาณลงไปเพื่อพัฒนาให้ประชาชนมีฐานะดีขึ้น เข้าทำนองอยู่ดีกินดี ซึ่งเมื่อประชาชนได้รับการดูแลจนถึงขั้นนั้นแล้ว ความไม่สงบที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ หายไป ความไม่เข้าใจในรัฐบาลก็จะค่่อย ๆ หายไป เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกันยิ่งขึ้น

            ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ก็มีหน้าที่เหมือนกัน คือ ดูแลให้ประชาชนมีความสุขสงบ และที่สำคัญ ไม่มีสิทธิไปตอบโต้ประชาชน เพราะรัฐบาลไม่ใช่พ่อค้า ที่จะอยู่ในฐานะที่จะตอบโต้คู่แข่งได้ ที่ใดที่เกิดความไม่เข้าใจ  รัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศ ก็ต้องมีหน้าที่ไปทำให้เกิดความเข้าใจ และไปพัฒนาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น   ดังนั้น แทนที่จะไปตัดงบพัฒนา กลับต้องทุ่มเทงบลงไปพัฒนาให้หนักยิ่งขึ้น เพียงแต่วิธีการเท่านั้น รัฐบาลย่อมมีสิทธิเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่

             ผมไม่รู้ว่าที่ท่านนายกรัฐมนตรีท่านพูดอย่างที่เป็นข่าวนั้น ท่านหมายความอย่างที่ผมว่าหรือไม่   ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ก็เป็นหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจให้เกิดขึ้น จะปล่อยให้นายกรัฐมนตรีอารมณ์เสียกับคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปทำไม


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    22 กุมภาพันธ์ 2548