เรียน คนเดินถนน
สิ่งที่คุณพูดมาก็จริงอยู่ คือ ตื้นลึกหนาบางทั้งหลายนายกย่อมรู้หรือมีข้อมูลดีกว่าคนทั่ว ๆ ไป เรื่องบางเรื่องจึงไม่อาจพูดให้กระจ่างได้อย่างที่คนทั่วไปอยากรู้
แต่ความจริงดังกล่าวนายกรัฐมนตรีก็ต้องรู้ดีเช่นเดียวกันว่า เรื่องบางเรื่องไม่สามารถพูดได้ตลอด ดังนั้นการจะพูดเรื่องใด ๆ จึงต้องตระหนักเสียก่อนว่าจะสามารถพูดให้ตลอด หรือพูดให้คนทั่วไปฟังเข้าใจอย่างที่นายกฯต้องการให้เข้าใจได้หรือไม่ ถ้าไม่สามารถทำได้ ก็ต้องไม่พูด เพราะการไม่พูดของนายกรัฐมนตรีในบางเรื่อง เป็นผลดีกว่าการพูดมากนัก
จริงอยู่ในยุคปัจจุบันเป็นยุคของความ "โปร่งใส" และเป็นยุคของ "การต้องการรู้ข้อมูลข่าวสาร" ของประชาชน แต่หน้าที่และความรับผิดชอบของคนที่เป็นรัฐบาลที่มีต่อความอยู่รอดปลอดภัยของบ้่านเมืองไม่ว่าในด้านใด ๆ และความสงบสุขของประชาชน นั้นเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดเวลา ความโปร่งใสและการป้อนข้อมูลข่าวสาร จึงไม่อยู่ในฐานะที่จะทำได้เหมือนอย่างคนทั่ว ๆ ไป เช่น ถ้านายกเห็นว่าจำเป็นต้องปรับค่าเงินบาท ใครไปถามให้ตายอย่างไร จะอ้างสิทธิร้อยแปดพันเก้าอย่่างไร ก็ไม่สามารถบอกใครได้ ความโปร่งใสในที่นี้ ไม่ใช่อยู่ที่การออกมาเปิดเผยให้คนรู้ทั่วหน้ากัน หากแต่ความโปร่งใสกลับอยู่ที่การปิดให้มิด เฉพาะที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจึงจะรู้ได้ หรือถ้าเศรษฐกิจของประเทศกำลังไม่ดี ต่อให้ฝ่ายค้านหรือนักวิชาการออกมาว่าอย่างไรก็ตาม นายกก็ต้องยืนยันว่าเศรษฐกิจของประเทศกำลังไปได้ด้วยดี ส่วนจะแก้ไขแนวโน้มที่ไม่ดีอย่างไร ก็เป็นเรื่องหน้าที่ที่จะต้องทำไป
คนเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนั้น มีศักดิ์ที่สำคัญที่เมื่อพูดอะไรแล้ว คนต้องเชื่อไว้ก่อน เมื่อใดที่พูดแล้วคนเขาไม่เชื่อหรือไม่คิดว่าเป็นเรื่องจริง ศักดิ์แห่งนายกรัฐมนตรีของประเทศย่อมจะหมดสิ้นไป ดังนั้น การพูดของนายกรัฐมนตรีจึงเป็นสิ่งสำคัญ พูดเร็วเกินไปก็ไม่ดี พูดช้าเกินไปก็ไม่ดีอีกเหมือนกัน ตามหลักงานสารบรรณนั้น เมื่อใครมีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี จะต้องลงท้ายด้วย "ของแสดงความนับถืออย่างยิ่ง" ในขณะที่จดหมายที่มีถึงคนอื่น อย่างมากก็ลงท้ายด้วยคำว่า "ของแสดงความนับถืออย่างสูง" เมื่อมีศักดิ์สูง ภาระหน้าที่และความอดกลั้นก็ย่อมต้องสูงตามไปด้วย คนอื่นๆ อาจจะมีสิทธิพูดเล่น พูดให้สะใจ หรือพูดด้วยอารมณ์โกรธได้ แต่นายกรัฐมนตรีกลัยไม่อาจทำอย่างนั้นได้
การแบ่งพื้นที่ออกเป็นเขต เพื่อกำหนดความหนักเบาแห่งปัญหานั้น เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อประโยชน์ในการบริหารปัญหา จะได้แก้ไขปัญหาแต่ละเขตได้ตรงจุดและถูกต้อง ซึ่งแต่ละเขตย่อมมีวิธีการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกัน แต่การที่มีข่าวเป็นทำนองว่าถ้าเป็นเขตสีแดงก็จะตัดไม่ให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน เพราะเกรงว่าจะนำเงินนั้นไปใช้ซื้ออาวุธมาก่อการร้าย นั่นแหละเป็นเหตุให้คนจำนวนไม่น้อยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วย อันที่จริงการพัฒนาด้วยวิธีการให้เงินก้อนไปยังตำบลและหมู่บ้าน โดยเปิดโอกาสให้คณะกรรมการของตำบลหรือหมู่บ้านสามารถใช้เงินนั้นไปทำอะไรก็ได้นั้น อาจจะใช้ได้กับตำบลหรือหมู่บ้านที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความรุนแรง เพราะชาวบ้านจะสามารถใช้เงินนั้นไปแก้ไขปัญหาได้ตรงตามจุดของตน (แม้จะมีเสียงพูดถึงความรั่วไหลกันอยู่บ้างก็ตาม แต่ไม่ว่าจะทำอะไร อย่างไร ก็มีการรั่วไหล กันอยู่ทุกระดับอยูดี) แต่สำหรับตำบลหรือหมู่บ้านที่มีปัญหาอย่างภาคใต้ และยิ่งเป็นเขตที่ได้วิเคราะห์แล้วว่าเป็นจุดอันตราย การส่งเงินไปพัฒนาด้วยวิธีการดังกล่าว ก็อาจจะเสี่ยงอันตรายไม่น้อย แต่ทั้งนี้ก็มิได้หมายความว่ารัฐจะสามารถทอดทิ้งตำบลหมู่บ้านนั้นได้ เพราะคนไทยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน มีความคิดอ่านอย่างไร จะสอดคล้องกับรัฐบาลหรือไม่ ก็ต้องมีสิทธิได้รับการพัฒนาและการดูแลจากรัฐอย่างทัดเทียมกัน เพียงแต่ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการเดียวกัน รัฐยังคงมีหน้าที่ที่จะต้องพัฒนาอย่างทั่วถึง ยิ่งที่ใดที่มีปัญหา และปัญหานั้นเกิดจากความไม่เข้าใจ หรือความขาดการพัฒนา รัฐยิ่งจะต้องทุ่มเทงบประมาณลงไปเพื่อพัฒนาให้ประชาชนมีฐานะดีขึ้น เข้าทำนองอยู่ดีกินดี ซึ่งเมื่อประชาชนได้รับการดูแลจนถึงขั้นนั้นแล้ว ความไม่สงบที่มีอยู่ก็จะค่อย ๆ หายไป ความไม่เข้าใจในรัฐบาลก็จะค่่อย ๆ หายไป เกิดความเข้าใจที่ดีต่อกันยิ่งขึ้น
ไม่ว่าใครจะมาเป็นรัฐบาล ก็มีหน้าที่เหมือนกัน คือ ดูแลให้ประชาชนมีความสุขสงบ และที่สำคัญ ไม่มีสิทธิไปตอบโต้ประชาชน เพราะรัฐบาลไม่ใช่พ่อค้า ที่จะอยู่ในฐานะที่จะตอบโต้คู่แข่งได้ ที่ใดที่เกิดความไม่เข้าใจ รัฐบาลในฐานะผู้บริหารประเทศ ก็ต้องมีหน้าที่ไปทำให้เกิดความเข้าใจ และไปพัฒนาให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น ดังนั้น แทนที่จะไปตัดงบพัฒนา กลับต้องทุ่มเทงบลงไปพัฒนาให้หนักยิ่งขึ้น เพียงแต่วิธีการเท่านั้น รัฐบาลย่อมมีสิทธิเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ และสิ่งแวดล้อมของแต่ละพื้นที่
ผมไม่รู้ว่าที่ท่านนายกรัฐมนตรีท่านพูดอย่างที่เป็นข่าวนั้น ท่านหมายความอย่างที่ผมว่าหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างที่ว่ามา ก็เป็นหน้าที่ของโฆษกรัฐบาลที่จะต้องพยายามทำความเข้าใจให้เกิดขึ้น จะปล่อยให้นายกรัฐมนตรีอารมณ์เสียกับคำวิพากษ์วิจารณ์ต่อไปทำไม
มีชัย ฤชุพันธุ์ 22 กุมภาพันธ์ 2548 |