ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    013196 เพิ่มเติมจากคำถามที่ 013188 ( การร้องขอที่พึ่งทางกฏหมาย )ลูกชายคนหนึ่ง21 กุมภาพันธ์ 2548

    คำถาม
    เพิ่มเติมจากคำถามที่ 013188 ( การร้องขอที่พึ่งทางกฏหมาย )

    กราบเรียนอาจารย์มีชัย

    ผมเป็นเจ้าของคำถามเดียวกับคำถามที่ 013188 และคำถามอื่นๆตั้งแต่ปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างหนี้กับบสท.ของกิจการโรงแรมโดยใช้ชื่อจริงทั้งหมด ( ที่จำได้มีคำถามที่ 00341 / 00415 ) โดยหลังจากที่ได้ปรับโครงสร้างหนี้กับบสท.เสร็จแล้วก็ต้องมาพบกับปัญหาการทุจริตซึ่งโยงกับคนภายในอีก เรียนอาจารย์ตรงไปตรงมาว่าผู้ที่ทุจริตคือลูกสาวคนละแม่กับผมที่ได้รับการปกป้องจากพ่ออย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่แยกแยะผิดถูก และเป็นแบบนี้มาหลายสิบปีจนกระทั่งไม่รู้ว่าเวรกรรมนี้จะจบลงเมื่อใด

    เมื่อเร็วๆนี้คดีที่ได้ไปแจ้งความก็ถูกตำรวจสั่งไม่ฟ้องเนื่องจากพ่อได้ใช้วิธีสุดท้ายคือการไปขอร้องให้กรรมการบริษัทซึ่งทุกคนเป็นผู้อาวุโสและไม่รู้เรื่องภายในเลยแต่ด้วยความเกรงใจพ่อซึ่งเป็นคนก่อนตั้งบริษัทก็ต้องไปให้การกับตำรวจเป็นพยานในทำนองว่าเงินที่หายไปนั้นได้นำไปใช้เพื่อเป็นค่าคอมมิชชั่นให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานราชการ ซึ่งรายละเอียดและที่มาที่ไปไม่สามารถแจกแจงได้เนื่องจากเป็นความลับของธุรกิจ ในที่สุดเมื่อกรรมการส่วนใหญ่ต้องตกบันไดพลอยโจนเช่นนี้ตำรวจก็สั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าวทั้งๆที่มีทั้งพยานซึ่งเป็นพนักงานของโรงแรมหลายคนและเอกสารครบถ้วนและเพียงพอที่จะเอาผิดได้

    ต่อมาเมื่อ 2 เดือนก่อนได้มีการประชุมผู้ถือหุ้นและได้มีการเปลี่ยนเอาตัวผมออกจากตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยยังคงให้ผมและน้องสาวอีกคนเป็นกรรมการพร้อมทั้งกรรมการภายนอก และได้เชิญนายส. ซึ่งเป็นอาผมมาเป็นกรรมการผู้จัดการแทนผม โดยได้เปลี่ยนแผนการกู้เงินกับธนาคาร แต่จะหันมาใช้วิธีใช้ที่ดินของบริษัทไปจำนองกับธนาคารเพื่อนำเงินสดที่ได้มาใช้ในกิจการ ซึ่งกรรมการทุกคนก็ฝากความหวังไว้กับกรรมการท่านใหม่ว่าจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาของโรงแรมได้

    แต่ทว่าอาจารย์ครับ แทนที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการ นายส.กลับเข้ามาและพยายามขับไล่และกีดกันผมและครอบครัวออกจากโรงแรมซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัยด้วย โดยได้พยายามสร้างความแตกแยกระหว่างพ่อซึ่งชรามากและถูกชักจูงได้ง่าย โดยได้ดำเนินการสารพัดวิธี ล่าสุดเมื่อวานนี้ นายส.ได้พาพ่อผมไปแจ้งความพี่ชายผมซึ่งได้ขนเศษวัสดุประเภทไม้ซึ่งไม่ใช้แล้วออกจากโรงแรม โดยแจ้งกับตำรวจว่าโขมยทรัพย์สินของบริษัทและตนเองมาแจ้งความในฐานะกรรมการผู้จัดการ ทั้งๆที่ผมเองเป็นผู้ไหว้วานพี่ชายให้ดำเนินการดังกล่าวเอง ( สำหรับผมเป็นการกระทำที่น่าสมเพชเวทนาเหลือเกินที่คนเป็นพ่อถูกน้องชายซึ่งตนไว้วางใจให้มาทำหน้าที่แทนยุแหย่ให้ถึงขนาดไปแจ้งความลูกชายตนเอง ส่วนนายส.ซึ่งเป็นอาแท้ๆกลับมีเจตนาที่จะฮุบกิจการและสามารถทำได้โดยไม่คำนึงถึงวิธี )

    และเมื่อเย็นวานนี้ถัดจากที่ไปแจ้งความพี่ชายผมที่โรงพักไม่กี่ชั่วโมง นายส.ก็ได้ใช้ให้ลูกน้องของตัวเองซึ่งไม่ใช่พนักงานของโรงแรม ( ส่วนใหญ่เป็นพวกอันธพาลหรือบุคคลนอกเครื่องแบบ ) มารุมทำร้ายพนักงานของโรงแรมระดับผจก.ฝ่ายซึ่งเป็นคนสนิทของพ่อผม โดยยัดข้อหาเรื่องโกงเงินค่าซื้ออุปกรณ์และกระด้างกระเดื่องไม่ฟังคำสั่ง เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หน้าโรงแรมนี่เองในขณะที่มีพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโรงแรมอยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากพร้อมทั้งพูดทิ้งท้ายทำนองว่าพวกกระด้างกระเดื่อง และพวกพนักงานที่ไกล้ชิดกับครอบครัวผมอาจจะต้องประสพเหตุการณ์เช่นนี้

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานทำให้พนักงานของโรงแรมจำนวนมากเสียขวัญและกำลังใจอย่างยิ่ง พร้อมกับผิดหวังกับการกระทำของคนที่เป็นน้องชายแท้ๆของเจ้าของโรงแรม และเป็นบุคคลที่พนักงานฝากความหวังว่าจะเข้ามาช่วยบริหารกิจการให้เจริญก้าวหน้าและช่วยให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และที่สำคัญคือทำให้ฟางแห่งความอดทนเส้นสุดท้ายของผมและครอบครัวหมดลง เนื่องจากเห็นว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป นอกจากกิจการที่ช่วยกันฟื้นฟูกลับมาจากบสท.จะเสียหายมากไปกว่านี้แล้ว อาจเกิดอันตรายต่อชีวิตของครอบครัวได้

    ผมใคร่ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้

    1. หากผมจะดำเนินการตามที่ได้เรียนถามอาจารย์ว่าจะขอที่พึ่งจากศาลโดยการร้องขอต่อศาลว่าพ่อเป็นบุคคลไร้ความสามารถ และบริหารกิจการในลักษณะที่ทำให้บริษัทและครอบครัวเสียหายจะเหมาะสมหรือไม่ในภาวะสังคมปัจจุบัน ( เนื่องจากกิจการหลังวิกฤตเศรษฐกิจเหลือเพียงแค่โรงแรมเท่านั้น ซึ่งผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แล้วทุกวันนี้อยู่ในฐานะที่เลี้ยงตัวได้ )

    2. นายส.มาบริหารโรงแรมในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการและผู้จัดการทั่วไป และด้วยความที่มีกิจการของตัวเองทำให้แทบไม่มีเวลาให้เลย ประกอบกับไม่มีประสพการณ์ด้านโรงแรมทำให้งานของโรงแรมปั่นปวนและวุ่นวายสับสนไปหมด ในขณะเดียวกันการติดต่อเพื่อนำหลักทรัพย์ของบริษัทไปกู้เงินจากธนาคารเพื่อมาใช้ในกิจการก็ถูกธนาคารปฏิเสธมาแล้ว ( ผมเคยทำหนังสือแนะนำให้เรียกประชุมกรรมการบริษัทเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ถูกเพิกเฉย ) ผมพิจารณาดูแล้วว่าหากปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินต่อไปจะเกิดผลเสียกับโรงแรมอย่างมาก คำถามคือ หากผมจะดำเนินการเปลี่ยนแปลงกรรมการผู้จัดการ ( โดยยกเหตุผลของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว ทั้งการแจ้งความเท็จกับพี่ชายผม และการพาอันธพาลมาชกต่อยทำร้ายร่างกายพนักงานระดับผจก.ฝ่ายบริเวณหน้าโรงแรมซึ่งมีพยานจำนวนมากรู้เห็นเหตุการณ์ ตลอดจนการไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารตามที่ได้แจ้งต่อหน้ากรรมการทุกท่านได้ ) โดยผ่านการเรียกประชุมกรรมการและให้บอร์ดตัดสินจะได้หรือไม่ครับ เนื่องจากตามหนังสือบริคณฑ์ของบริษัทระบุว่า.. ข้อ 14 " ให้คณะกรรมการเลือกตั้งคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการ เพื่อทำหน้าที่เป็นผู้จัดการบริษัท "

    3. อาจารย์จะได้แนะนำวิธีแก้ปัญหาและการวางตัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้อย่างไร กรุณาแนะนำเพิ่มเติมด้วยครับ ผมเรียนปรึกษาอาจารย์โดยยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้งด้วยความสัตย์จริง ขณะนี้ไม่ทราบจะหันหน้าไปขอคำปรึกษาจากใครเนื่องจากสลับซับซ้อนและพัวพันกันไปหมดทั้งปัญหาของบริษัทและครอบครัว เดินหน้ารุกต่อไปก็จะถูกมองว่าต้องการฮุบกิจการของพ่อทั้งๆที่ผมเป็นทายาทอันชอบธรรม หากอยู่นิงเฉยครอบครัวก็จะถูกรังแก ข่มเหงเช่นนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

    กราบขอบพระคุณอย่างสูง

    คำตอบ

    เรียน ลูกชายคนหนึ่ง

           เรื่องของคุณน่าจะไม่สามารถแก้ไขทางกฎหมายได้ เพราะถ้าบิดาของคุณเป็นปฏิปักษ์ต่อครอบครัวและลูก การดำเนินการทางกฎหมายใด ๆ ย่อมจะไม่สามารถทำให้ลุล่วงไปได้  ปัญหาน่าจะอยู่ที่ความไม่เข้าใจกัน หรือความไม่ไว้วางใจกัน  ยิ่งดำเนินการทางกฎหมายมากเท่าไร ความเป็นปฏิปักษ์ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น  น่าจะลองหาทางพูดคุยกันดี ๆ ปรับตัวเข้าหากัน ทำความเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง บางทีอะไร ๆ จะดีขึ้น ดีกว่าปล่อยให้บิดาไว้วางใจคนอื่นมากกว่าบุตรของตัว


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    21 กุมภาพันธ์ 2548