เรียน ท่านอาจารย์มีชัย
ดิฉันขอเรียนขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์โดยมีรายละเอียดคร่าว ๆ คือ
ที่ดินผืนนี้ทางพ่อและแม่ได้ทำการตกลงซื้อขายจากป้าเมื่อราว 17 ปีที่แล้ว โดยได้มีการทำสัญญาซื้อขายกัน มีเนื้อที่จำนวน 10 ไร่ เป็นเงิน 10,000 บาท การทำสัญญาได้ทำต่อหน้าผู้ใหญ่บ้านและกำนันในยุคนั้น และมีพยานจำนวน 3 คน เมื่อทำสัญญาเสร็จได้มีการมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้ไว้กับพ่อและแม่ รวมทั้งสัญญาซื้อขายคนละหนึ่งฉบับ และด้วยเหตุว่าเป็นญาติ ๆ กันพ่อกับแม่จึงไม่ได้รีบร้อนในการทำการโอนเพื่อให้ที่ดินดังกล่าวมาเป็นชื่อของท่าน โดยในระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมาก็ได้มีการใช้ประโยชน์จากที่ดินผืนนี้อย่างเปิดเผยเรื่อยมา
จนเมื่อประมาณกลางปี 2547 รัฐบาลโดยกรมที่ดินของจังหวัดได้ออกมาวัดรังวัดเพื่อออกเอกสารสิทธิ์ในการปกครองที่ดิน แต่ทางฝ่ายป้าและลูก ๆ กลับออกมาแสดงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดินจำนวน 10 ไร่ดังกล่าว ทำให้หน้าหน้าที่ที่มาทำการวัดรังวัดไม่สามารถทำได้ โดยทางฝ่ายป้าและลูก ๆ บอกจะยื่นร้องต่อศาล ซึ่งทางพ่อกับแม่ก็ยินยอมและพร้อมที่จะไปให้การ ด้านผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ปัจจุบันมีชีวิตอยู่ ส่วนพยาน 3 คน ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ก็พร้อมที่จะไปให้การต่อศาลเช่นเดียวกัน
ต่อมาศาลออกหมายเรียกตัวพ่อกับแม่ รวมทั้งฝ่ายป้าให้ไปให้การกับศาลรวม 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ฝ่ายป้าไม่ยอมไปขึ้นศาลที่นัด จนครั้งที่ 3 ทางฝ่ายป้าจึงยินยอมที่ไปให้การกับศาล โดยกำหนดวันขึ้นศาลวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2548 นี้
ดิฉันขอเรียนคำแนะนำจากท่านอาจารย์ว่า
1. การทำสัญญาซื้อขายที่ดินผืนนี้ครบบริบูรณ์หรือไม่
2. หากการทำสัญญาซื้อขายที่ดินไม่ครบบริบูรณ์ ในกรณีนี้พ่อกับแม่มีการการปกครองที่ดินและมีการใช้ประโยชน์เกิน 10 ปี ถือว่าเป็นการปกครองโดยปริปักษ์หรือเปล่า
3. การขึ้นศาลครั้งนี้ โอกาสในการชนะความนี้มีมากน้อยเพียงใด