เรียน ท่านอาจารย์มีชัย ที่เคารพ
ขอเรียนถามดังนี้ ผมมีที่ดินอยู่ 1 แปลงตั้งอยู่ในทำเลดี หลายปีก่อนมีความจำเป็นเรื่องเงินจึงนำที่ดินไปขายฝาก ทั้งๆ ที่ทราบว่าอันตรายแต่ไม่มีทางเลือก ก่อนหน้านั้นคนใกล้ชิดแนะว่าควรหาในระบบก่อน แต่ตอนนั้นหาไม่ได้เพราะจำกัดที่เงินเดือนไม่พอส่ง (ข้าราชการ) บางคนก็แนะนำให้ลองพยายามหาจำนองบุคคล ก็หาไม่ได้เพราะ 4-5 ปีที่แล้วไม่ค่อยมี เพิ่งมีได้ไม่นานมานี้ ปรากฏว่า 1 ปีให้หลัง หลุดขายฝาก ผมเสียดายที่จึงพยายามขอซื้อคืนเพราะเป็นที่มรดก ไม่อยากมีตราบาปในใจ เจ้าของขายฝากซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของที่ดินยินยอม โดยให้ทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อที่ดินคืนในราคาเดิมที่ขายฝากไป โดยไม่มีกำหนดเวลาและคิดดอกเบี้ยร้อยละ 2.5 ต่อเดือน ไม่มีการให้ผ่อนชำระเงินต้นคืนเป็นงวดๆ แต่อย่างใด ผมสามารถไถ่ถอนได้ทุกเมื่อ ในสัญญาระบุให้ซื้อคืนในราคาเดิม ทั้งๆ ที่เขาสามารถประกาศขายได้ในราคาตลาดที่สูงกว่ามากเกือบเท่าตัว (อยู่ในทำเลดี) ผมให้ดอกเบี้ยเขาทุกเดือนติดต่อกันมา 3 ปี ความที่ผมให้ดอกเบี้ยเขาดี เขาเสนอให้เงินเพิ่มเพื่อไปลงทุนอีกหลายแสนบาท จึงกลายเป็นว่าราคาซื้อคืนไม่ใช่ราคาเดิมแต่เป็นราคาใหม่ที่สูงขึ้น แต่ก็นับว่ายังน้อยกว่าราคาขายในตลาดปัจจุบันมาก ผมมองเห็นถึงความเสียเปรียบหลายอย่างแต่ไม่มีทางเลือก จึงอยากเรียนปรึกษาดังนี้
1.การที่เขาไม่เสนอให้ผ่อนชำระเงินต้นเสียบ้างเพื่อให้ดอกเบี้ยลด ยุติธรรมหรือไม่ (แต่ต่อมาเขาลดอกเบี้ยให้เป็น 2 %) เพราะดูแล้วไม่มีวันสิ้นสุดตราบใดที่ผมยังหาเงินต้นคืนไม่ได้
2.การที่เขาอ้างว่าเขาสามารถขายได้ในราคาที่สูงกว่า ก็เป็นเรื่องจริง เขาขอแค่เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเขาคืนเท่านั้น ยุติธรรมและถูกต้องแล้วในแง่กฏหมายหรือไม่
3.ผมอยากนำเข้าสู่เงินในระบบตลอดเวลา (เป็นข้าราชการด้วย) ผมจำได้ว่าเมื่อหลายเดือนก่อนเคยมีมติครม. เรื่องการจะให้ข้าราชการลงทะเบียนเพื่อโอนหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบ ไม่ทราบคำสั่งจะลงมาที่หน่วยงานราชการเมื่อไหร่ครับ ผมจะได้ไปขึ้นทะเบียน
4.จากเรื่องที่เล่าท่านอาจารย์ทั้งหมดผมรู้สึกตนเหมือนคนโง่ ผมถูกเอาเปรียบมาตลอดใช่หรือไม่ครับ ที่ผมต้องยอมเท่าทุกวันนี้เพราะเป็นที่มรดก ถ้าไม่ใช่ผมปล่อยขาดไปนานแล้ว ผมเครียดและเป็นทุกข์มากครับ ท่านอาจารย์หาทางออกให้ผม
ขอบพระคุณมากครับ
พิบูลย์
เรียน คุณพิบูลย์
1. การที่เขาไม่เสนอให้ผ่อนเงินต้น ก็เพราะอันที่จริงในแง่ของกฎหมาย คุณไม่มีหนี้อะไรอยู่กับเขาอีกแล้ว การที่เขาตกลงจะขายที่ดินคืนให้คืน ก็เป็นเรื่องของสัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อไรเขาเบื่อขึ้นมาเขาอาจกำหนดเวลาให้คุณซื้อ และถ้าคุณไม่ซื้อเขาก็บอกเลิกสัญญาดังกล่าวเสียได้ ดังนั้น การที่เขาเรียกเก็บแต่ดอกเบี้ย (เพื่อค่าที่ตกลงจะขายคืนให้ในราคาเดิม) จึงนับว่าเขายังกรุณาอยู่
2. ในแง่หนึ่ง ก็นับว่ายุติธรรมพอสมควร แต่ในอีกแง่หนึ่ง ก็เท่ากับว่าคุณเสียดอกเบี้ยในสิ่งที่ไม่ได้เป็นหนี้ แต่ก็ต้องคิดเสียว่าเป็นค่าที่เขารับปากจะขายคืนในราคาเดิม
3. ดูเหมือนรัฐบาลเขาจดทะเบียนไปเสร็จสิ้นนานแล้ว เพราะตอนที่เขาประกาศนั้น เขาไม่แยกแยะหรอกว่าเป็นอาชีพอะไร ดูเหมือนเขาประกาศแต่ว่าใครมีหนี้นอกระบบ ก็ให้ไปลงทะเบียนไว้ เขาจะได้หาทางให้หนี้นั้นมาอยู่ในระบบ
4. ยังไม่อาจบอกว่า "โง่" เพียงแต่ ความไม่รู้ ทำให้มักจทำอะไรผูกพันโดยไม่สมควร
ปัญหาของคุณเกิดขึ้นเพราะความ "ติดยึด" ในคำว่า "มรดก" จึงทำให้เข้าทำนองเสียกำแล้วยังซ้ำเสียกอบ ถ้าลองคิดให้ดีว่า ถ้าเจ้ามรดกยังมีชีวิตอยู่ ท่านจะอยากให้คุณทำอย่างนี้ หรืออยากให้คุณอยู่สุขสบาย คำตอบก็น่าจะเป็นอย่างหลัง ถ้าคุณเลิกติดยึดเสีย และตัดใจเสีย บางทีปัญหาจะแก้ไขง่ายกว่านี้ เพราะคุณก็บอกแล้วว่าที่ดินนั้นราคาตลาดสูงกว่านี้มาก ถ้าคุณเป็นหนี้อยู่ ๕ แสน แล้วราคาที่ดินมีหนึ่งล้าน คุณตัดใจขายเสียในราคา ๗ แสนก็จะมีคนซื้อเร็วขึ้น คุณก็จะสามารถชำระหนี้ได้ทั้งหมด ยังมีเงินเหลืออีก ๒ แสน แถมยังไม่ต้องเสียดอกเบี้ย ก็จะทำให้ฐานะดีขึ้น ถ้ารู้จักเก็บออมไว้ อีกไม่นานก็อาจมีเงินพอที่จะไปซื้อที่นแปลงใหม่ทดแทนแปลงที่เป็นมรดกได้ แทนที่จะนั่งทนเสียดอกเบี้ยอย่างนี้ไปอีกไม่รู้เมื่อไร พอดีพอร้าย เงินดอกเบี้ยที่เสียไปวันหนึ่งอาจจะมากกว่าราคาที่ดินก็ได้