ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
ค่าส่วนกลาง
ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
อ่านทั้งหมด
มุมของมีชัย
ถาม-ตอบ กับมีชัย
ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่
ส่งคำถาม
คำสำคัญ
ค้นหาใน
หัวข้อ & เนื้อหาคำถาม
ผู้ส่งคำถาม
เลือกประเภทคำถาม-ตอบ
>
การเมือง
|
กฏหมาย
|
เศรษฐกิจ
|
ทั่วไป
|
มรดก
|
แรงงาน
|
ท้องถิ่น
|
มหาวิทยาลัย
|
ราชการ
|
ครอบครัว
|
ล้มละลาย
|
ที่ดิน
|
ค้ำประกัน
|
22128 ค้ำ
|
archanwell.org
|
ล้างมลทิน
|
24687
|
hhhhhhhhhhh
|
คำถามทั้งหมด
... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม
ปิดหน้าต่างนี้
คำถามที่
หัวข้อคำถาม
โดย
วันที่
012423
เรื่องมหาวิทยาลัยบูรพา
พ่อแม่ นิสิต ม.บูรพา
16 พฤศจิกายน 2547
คำถาม
เรื่องมหาวิทยาลัยบูรพา
เรียนท่านมีชัยที่เคารพ ผมกับภรรยาทำงานเป็นคนกินเงินเดือนที่บริษัทเอกชนในชลบุรีแห่งหนึ่ง มีลูก 2 คน เรียนที่ ม.บูรพาซึ่งท่านเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยอยู่ในขณะนี้ คนโตเรียนปี 4 ส่วนคนเล็กเพิ่งจะเข้าปี 1 ที่ผ่านมาผมกับภรรยามีฐานะที่เพียงพอ คือ สมถะ ไม่สุรุ่ยสุร่าย เพราะเราต้องผ่อนบ้านที่ยังค้างอยู่อีก 3 ปี และส่งลูกเรียนทั้งคู่ เราไม่ได้ลูกกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา เพราะคิดว่านั่นเพื่อคนจนๆ ที่แย่กว่าเรามาก ช่วงที่ลูกคนสุดท้องของเราเข้าเรียน ม.บูรพานี้ได้เกิดปัญหาเรื่องการออกนอกระบบอันเป็นผลให้มหาวิทยาลัยต้องเลี้ยงตัวเอง อีกทั้งเราได้ข่าวว่ามหาวิทยาลัยแพ้คดีเรื่องการรับเหมาก่อสร้างด้วยต้องจ่ายเงินชดเชยถึง 200 ล้านบาท อีกทั้งเราได้ข่าวมากว่าอธิการบดี ม.บูรพาได้รับค่าตอบแทนต่างหากจากเงินเดือนซึ่งเป็นงบประมาณแผ่นดินโดยเอาเงินรายได้ของมหาวิทยาลัยมาเพิ่มอีกถึง 150,000 บาทโดยเบิกจ่ายย้อนหลังตั้งแต่ เมษายน 47 สิ่งเหล่านี้จะต้องกระทบกระเทือนฐานะทางการเงินของมหาวิทยาลัย อันจะต้องนำมาซึ่งการขึ้นค่าหน่วยกิตอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ผมได้ทราบข่าวมาว่าตอนปรับปรุงหลักสูตรปี 2545 ท่านนายกสภาได้ให้นโยบายปรับลดจำนวนหน่วยกิตลง เพราะจะต้องเพิ่มค่าหน่วยกิตเมื่อมหาวิทยาลัยออกนอกระบบไปแล้วเพื่อถ่วงดุลให้ผู้เรียนไม่ต้องจ่ายมากเกินไป ผลก็คือ จำนวนหน่วยกิตหลายสาขาวิชาลดลงอย่างมาก จนผมไม่แน่ใจว่าลูกคนเล็กซึ่งเป็นคนเรียนเก่งและมีความตั้งใจที่จะเรียนในระดับสูงขึ้นไปจะมีความรู้เพียงพอที่จะไปเรียนต่อได้หรือไม่ หรือสถาบันอื่นจะยอมรับสาขาที่จบมาได้ไหม ตอนนี้ผมก็ให้โอกาสเขาตัดสินใจสอบเอ็นทรานซ์ใหม่แล้ว เพราะไม่แน่ใจในคุณภาพการศึกษาของ ม.บูรพาในตอนนี้ ถึงตรงนี้ ผมอยากเรียนถามท่านดังนี้ครับ 1. การออกนอกระบบราชการของ ม.บูรพานี้ บุคลากรในมหาวิทยาลัยไม่เห็นด้วยแต่ก็ถูกกดดันไว้จนไม่สามารถแสดงบทบาทได้หรือแสดงออกไปผู้บริหารก็ไม่รับฟังใช่หรือไม่ครับ (บังเอิญผมก็มีเพื่อนทำงานใน ม.บูรพามานานอยู่หลายคน) 2. การเพิ่มเงินตอบแทนอธิการบดีและผู้บริหารโดยใช้เงินรายได้มหาวิทยาลัยนั้น ผ่านขั้นตอนใด และผ่านการเห้นชอบได้อย่างไรในสภาวะที่มหาวิทยาลัยมีปัญหาเรื่องการเงินในขณะนี้ 3. เมื่อช่วงเดือน กันยายน อธิการบดีได้สั่งการให้มีการเปลี่ยนชื่อมหาวิทยาลัยบูรพาเป็นชื่อระหว่าง เจษฎาบดินทร์ หรือ พระนั่งเกล้า อันสร้างความไม่พอใจแก่นิสิตและบุคลากรอย่างใหญ่หลวงจนออกมาคัดค้านจนท่านอธิการบดีต้องล้มเลิกไป เรื่องนี้ ท่านทราบรายละเอียดมากน้อยเพียงใด และมีความเห้นอย่างไร 4. การออกนอกระบบราชการนี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลังที่คลุมเครืออย่างไรจึงได้ถูกคัดค้านจากนิสิตและบุคลากร ม.บูรพาอย่างรุนแรงในขณะนี้ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบของท่านครับ คนกินเงินเดือน
คำตอบ
เรียน พ่อแม่นิสิต ม.บูรพา ถ้ามีลูกอยู่ปี 4 ก็ควรลองถามลูกดูว่า ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา เคยถูกขึ้นค่าหน่วยกิตบ้างหรือยัง สำหรับลูกที่กำลังเข้าเรียนในปี ๑ นั้น ก็เป็นอันมั่นใจได้ว่า ตลอดเวลาที่เขาเรียนอยู่จนกว่าจะจบตามกำหนดเวลา ค่าหน่วยกิตที่เขาต้องเสียในปี ๑ อย่างไร เขาก็จะเสียเท่านั้นไปตลอด ไม่ว่ามหาวิทยาลัยจะอยู่ในระบบราชการหรือออกนอกระบบราชการ เพราะสภามหาวิทยาลัยมีนโยบายที่ชัดเจนมาโดยตลอดว่า เมื่อใดที่มีความจำเป็นต้องขึ้นค่าหน่วยกิต ก็จะขึ้นสำหรับนิสิตที่จะเข้ามาเรียนใหม่ โดยนิสิตจะรู้ล่วงหน้าก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามหาวิทยาลัยบูรพาว่าเขาจะต้องเสียค่าหน่วยกิตเท่าไร สำหรับเรื่องการแพ้คดีนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว (ดูเหมือนก่อนผมเข้ามาเป็นนายกสภาฯ สภาไม่ทราบเรื่องนี้เพราะไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมีการเสนอสภาฯ) แต่ได้ทราบว่าขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ฎีกากันอยู่ และไม่ว่าผลคดีจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่เหตุที่จะมาขึ้นค่าหน่วยกิต เพราะถ้าถึงคราวแพ้คดีจริง ๆ กระทรวงการคลังก็คงต้องหาเงินมาจ่าย ส่วนจะไปไล่เบี้ยเอากับใครอย่างไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การหารายได้ของมหาวิทยาลัยนั้น จะต้องหามากหรือน้อย จะกระทบค่าหน่วยกิตหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการอยู่ในระบบหรือออกนอกระบบ เพราะถึงจะอยู่ในระบบหรือนอกระบบ ก็ยังคงเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ ถ้ารัฐตั้งเงินงบประมาณให้เพียงพอ จะเก็บค่าหน่วยกิตเพียง 5 บาท 10 บาท ก็ได้ แต่เมื่อใดที่รัฐตั้งเงินงบประมาณให้ไม่เพียงพอ มหาวิทยาลัยก็ต้องขวนขวายหารายได้มาเพื่อดำเนินการตามภารกิจต่อไป ค่าหน่วยกิตมิใช่เป็นรายได้แต่เพียงอย่างเดียวของมหาวิทยาลัย เพราะยังมีทางหารายได้อื่น ๆ ได้อีก สำหรับข้อมูลที่ว่าคุณได้ข่าวมาว่าตอนปรับปรุงหลักสูตรปี ๒๕๔๕ นายกสภาฯ ได้ให้นโยบายปรับลดหน่วยกิตลง เพื่อจะได้ขึ้นค่าหน่วยกิตในภายหลังนั้น ข้อมูลหรือข่าวที่มีคนมาแจ้งคุณนั้น เป็นความเท็จโดยสิ้นเชิง เป็นการเสกสรรปั้นแต่งขึ้น เพราะผมหรือสภามหาวิทยาลัย ไม่เคยมีนโยบายเช่นนั้น และขัดต่อเหตุผลโดยสิ้นเชิง ถ้าจะหารายได้จากค่าหน่วยกิต แล้วจะไปลดจำนวนหน่วยกิตทำไม ยิ่งบังคับให้เรียนจำนวนหน่วยกิตมาก ๆ ก็จะยิ่งได้เงินมากขึ้น ในความเป็นจริงนั้น การปรับปรุงหลักสูตรต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่เป็นประจำ เป็นเรื่องปกติของคณะและภาควิชาต่าง ๆ ที่จะต้องดำเนินการปรับปรุงตามเกณฑ์ของทบวงมหาวิทยาลัย (ปัจจุบัน สกอ.) ส่วนใหญ่เป็นการปรับปรุงวิชาต่าง ๆ แต่ที่มีการลดจำนวนหน่วยกิตลงนั้น เป็นเรื่องของคณะและภาควิชาต่าง ๆ ที่เสนอมายังสภามหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่า เกณฑ์มาตรฐานของทบวงมหาวิทยาลัย ได้ลดจำนวนหน่วยกิตลง ซึ่งสภาฯเองก็ยังแปลกใจ และบางสาขายังบอกไปด้วยซ้ำว่า วิชาใดที่จำเป็นที่นิสิตควรเรียนรู้ แม้จะเกินเกณฑ์ของทบวงไปบ้าง ก็ไม่น่าจะไปลด ในเรื่องของหลักสูตรนั้น โดยปกติสภาฯจะไม่ค่อยเข้มงวดนัก สุดแต่คณาจารย์ที่เป็นผู้สอนจะเสนอแนะกันมาตามลำดับขั้น เพราะเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับแวดวงและนิสิตมากกว่าสภามหาวิทยาลัย ื สำหรับคำถามนั้น ขอตอบดังนี้ 1. เท่าที่ทราบ ไม่น่าจะมีการกดดันใครได้ เพราะการออกนอกระบบนี้มิใช่่เพิ่งจะคิดหรือเริ่มทำกันมา หากแต่ทำกันมา 6 - 7 ปีแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่ผมจะเข้ามาเป็นนายกสภามหาวิทยาลัย เมื่อผมเข้ามาก็ได้พยายามให้ประชากรทุกคนไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือพนักงาน แม้แต่นักการภารโรง ให้ได้รับรู้ มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ร่วมกันร่าง ตามความสมัครใจ มีการจัดประชุมสัมมนาทั้งกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ และท้ายที่สุด เมื่อได้ร่างที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์แล้ว ก็ได้ให้จัดพิมพ์เท่าจำนวนอาจารย์ พนักงาน ลูกจ้าง "ทั้งหมด" แล้วให้ทุกคนลงชื่อรับไปคนละ ๑ ฉบับ นอกเหนือจากการนำขึ้น web ของมหาวิทยาลัย พร้อมทั้งให้เวลาระยะหนึ่งเพื่อให้แต่ละคนมีโอกาสแสดงความคิดเห็นหรือข้อขัดข้อง ในการแสดงความคิดเห็นจะลงชื่อหรือไม่ลงชื่อก็ได้ จะยื่นผ่านฝ่ายบริหาร หรือผ่านสภาคณาจารย์ก็ได้ เมื่อไม่มีใครคัดค้านแล้วจึงได้ส่งไปยังรัฐบาลเพือดำเนินการต่อไป นับแต่ที่ส่งไปจนถึงวันนี้ดูเหมือนจะกว่า ๒ ปีแล้ว เมื่อส่งออกไปแล้วและร่างถูกส่งไปยังสภา ก็มีการตั้งคณะทำงานเพื่อเตรียมยกร่างข้อบังคับของมหาวิทยาลัยให้สอดคล้องกับร่างกฎหมาย โดยสภาให้นโยบายไปอย่างชัดแจ้งว่า แต่ละคนต้องการให้มหาวิทยาลัย เป็นอย่างไร มีอะไรที่อยากให้เป็น ไม่อยากให้เป็น ก็ให้ไปเขียนกันไว้เสียในข้อบังคับ คนที่จะไปทำหน้าที่ร่างนั้น ก็ให้ประกาศให้ทุกคนทราบว่า ใครถนัดทางไหน หรือมีอะไรที่คิดว่าจะช่วยมหาวิทยาลัยได้ ก็ให้สมัครกันเข้ามา จะได้แบ่งงานกันไปทำ ดูเหมือนผู้บริหารได้ไปแยกแยะข้อบังคับออกเป็นกลุ่ม ๆ ใครจะสมัครเข้ามาร่างกลุ่มไหนก็ได้ หรือถ้ามีเวลาจะสมัครหลายกลุ่มก็ได้ ซึ่งดูเหมือนก็มีคนสมัครตามสมควร แต่จะร่างกันไปถึงไหนก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่าวันหนึ่งเขามาบอกว่า ถ้าไม่มีใครไปให้แนวทางเขา ๆ ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นกันอย่างไร เขาก็มาเชิญผมให้ไปพูด ผมก็ไปพูดให้ฟังสรุปได้ว่า แต่เดิมคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยบ่นกันนักว่า ระเบียบต่าง ๆ ของทางราชการไม่เอื้ออำนวยให้เขาทำงานทางวิชาการได้อย่างอิสระ ไม่คล่องตัว ทำให้คุณภาพการศึกษาไม่ดี ไม่มีความสุข ต่อไปนี้บุคลากรทั้งหลายโดยเฉพาะคณาจารย์จะมีโอกาสร่างกันเองแล้ว อะไรที่ไม่ชอบ ที่ขัดข้อง ที่ไม่อยากให้เกิด ก็จัดการกันเสีย ถ้าถามผมว่ามีนโยบายอย่างไร ผมก็ได้แต่บอกว่านโยบายของผมมี ๒ อย่าง ๆ ที่หนึ่ง คือ สิ่งที่ให้ไปคือกระดาษเปล่า ไม่มีกรอบ ไม่มีเกณฑ์ อยากได้อะไร ไม่อยากได้อะไร ก็เขียนกันลงมา โดยไม่ต้องห่วงว่าร่างข้อบังคับไม่เป็น ขอแต่เพียงให้แสดงให้เข้าใจได้ว่าต้องการอย่างไร ส่วนในเชิงเทคนิค เดี๋ยวจะหาคนมาช่วยเขียนหรือแก้ไขให้ นโยบายประการที่ ๒ คือ ขอให้ทำใจให้ว่าง อย่าไปติดยึดกับระบบราชการ (ที่บ่นกันมานานว่าไม่ชอบ) อย่าทำโดยวิธีไปกางระเบียบข้อบังคับของทางราชการ แล้วก็แก้ไขตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย เพราะจะเท่ากับว่าในที่สุดก็จะถูกโยงใยกับสิ่งที่เป็นอุปสรรค และถ้าเกรงว่าเมื่อต่างคนต่างร่างกันแล้วจะไม่สอดคล้องกัน ก็ให้ประธานของแต่ละกลุ่มนั่นแหละมานั่งปรึกษาหารือกัน เผื่อจะสามารถวางแนวทางให้สอดคล้องกันเองได้ 2. ถ้ามหาวิทยาลัยไม่มีเงิน ก็คงขึ้นหรือจ่ายให้ไม่ได้ สำหรับขั้นตอนนั้นได้ผ่านมาอย่างรอบคอบพอสมควร เพราะได้ตั้งคณะทำงานไปศึกษาก่อนเพื่อมาเสนอแนะ ว่าควรจะขึ้นให้เท่าไรอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามในขณะนี้ปรากฏว่ามีกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการในสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งจะใช้กับมหาวิทยาลัยทุกแห่งที่อยู่ในระบบราชการ ในกฎหมายดังกล่าวได้กำหนดให้อธิการบดีมีทั้งเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และเงินเพิ่มพิเศษ ตามที่จะได้มีกฎหมายกำหนด เมื่อในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายดังกล่าวออกมา การจ่ายเงินเดือนให้อธิการบดีตามที่สภาเคยมีมติไว้ จึงต้องระงับไว้ก่อน จนกว่าจะมีกฎหมายดังกล่าวออกมา ซึ่งต้องรอดูต่อไปว่ากฎหมายจะให้มากหรือน้อยกว่าที่เคยให้ไป 3. ทราบรายละเอียดพอสมควร (เฉพาะในขั้นตอนของสภามหาวิทยาลัย) เพราะเมื่อมหาวิทยาลัยเสนอต่อสภาฯนั้น สภาก็ไม่มีข้อขัดข้องใด แต่เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาขึ้น ดังนั้นสภาจึงมีมติว่าก่อนจะดำเนินการต่อไปนั้น ให้ไป "ประชาหารือ" กันให้ดีเสียก่อน ถ้าเห็นดีเห็นงามกัน ก็จะได้ช่วยกันดำเนินการให้เป็นไปตามความประสงค์ แต่ถ้ามีข้อขัดข้องอย่างไร ก็จะได้ระงับกันได้ทัน ไม่ไปเกิดความเสียหายกันในภายหลัง ซึ่งมหาวิทยาลัยก็ได้ไปดำเนินการ และเมื่อปรากฏว่ามีคนยังไม่อยากให้เปลี่ยนชื่อ เรื่องก็เป็นอันระงับไป 4. เบื้องหน้าเบื้องหลังของการคัดค้านเป็นอย่างไร ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าการออกนอกระบบนั้นได้เริ่มดำเนินการกันมานานแล้ว จนพ้นมือของสภามหาวิทยาลัยไปแล้ว และเหตุที่เกิดความคิดในการดำเนินการนั้น ก็เพราะรัฐบาลในขณะนั้นกำหนดให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งต้องออกนอกระบบภายใน ๒ ปี ทุกมหาวิทยาลัยจึงต้องดำเนินการ รายละเอียดต่าง ๆ ถ้าสนใจก็ลองอ่านคำถามคำตอบที่ 658, 674, 705 มีชัย ฤชุพันธุ์ 14 พ.ย. 2547
มีชัย ฤชุพันธุ์
16 พฤศจิกายน 2547