ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    012413 ปฏิรูปราชการวิชัย12 พฤศจิกายน 2547

    คำถาม
    ปฏิรูปราชการ
    เรียนท่านอาจารย์ เมื่อเร็วๆนี้เลขาธิการ สกอ. ออกมาแถลงว่ามีแนวคิดจะขอแยก สำนักงานอุดมศึกษาออกจาก กท. ศึกษาธิการ ทำให้ผมเกิดจริตขึ้นมาว่า ทำไมเวลาจะปฏิรูประบบราชการนั้นไม่คิดให้ดีเสียก่อน เดี่ยวยุบ เดี๋ยวแยก ผู้คนก็สับสนกันแย่ว่าราชการคิดอย่างไร ขอความเห็นท่านอาจารย์ด้วยในฐานะที่ท่านเกี่ยวข้องอยู่ใน กพร. หน่วยงานหลายหน่วยงานสับสนในการปฏิบัติงานหลังปฏิรูป ไม่ชัดเจนในหน้าที่ขอบเขตความรับผิดชอบ หลายงานซำซ้อน หรือใกล้เคียง เช่น กรมอุทธยานกับกรมป่าไม้ กรมชลประทานกับกรมทรัพยากรนำ ฯลฯอีกหลายกรม จนทุกวันนี้ก็ยังสับสนไม่หาย บางงานเลยไม่มีเจ้าภาพเพราะยังตกลงกันไม่ได้ บางงานหลายเจ้าภาพแย่งกันทำ น่าอนาถใจกับการปฏิรูปจริงๆแทนที่งานจะเดินหน้ากลับถอยหลัง ผมขอยกตัวอย่างที่ผมเห็นชัดเจนให้ท่านอาจารย์ทราบ เช่นว่าเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบระดับสูงเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างยิ่งด้านสิ่งแวดล้อมทางทะเล ทำงานเดิมสังกัดกรมประมง ก็ทำงานมาด้วยดีตลอด เพราะหน่วยงานที่อยู่มีอุปกรณ์เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ครบถ้วน มูลค่าหลายสิบล้านบาท ผลงานออกมาด้วยดี แต่หลังปฏิรูป ดร. คนนี้ถูกย้ายไปอยู่กระทรวงทรัพยากรฯ และไปอยู่อีกทีหนึ่งในจังหวัดหนึ่ง ซึ่งไม่มีอุปกรณ์อะไรให้ใช้งานเลย เลยนั่งตบยุงเฉยๆ หรือทำอะไรบ้างเล็กน้อยตามมีตามเกิด ส่วนหน่วยงานเดิมทีมีเครื่องมือก็หยุดงานด้านนี้เพราะผู้ทำไม่มี ผมเคยถามว่าแล้วทำไมไม่ยกเครื่องมือให้เขาไปเลยในหน่วยใหม่ เพื่อให้ทำงานได้ เขาตอบว่า ไม่ได้เพราะเป็นครุภัณฑ์คนละสังกัด หน่วยใหม่ถ้าอยากทำก็ต้องไปขอซื้อใหม่เองอีก เห็นไหมครับว่าเราสูญเสียงบประมาณไปเยอะแยะกับอุปกรณ์เครื่องมือ แต่สุดท้ายต้องทิ้งไม่ใช้งาน ที่สำคัญ ผู้เชี่ยวชาญก็ถูกดองอยู่ในหน่วยที่ทำงานไม่ได้ เป็นการสูยเสียทรัพยากรคนอย่างไม่รู้ตัว ตัวอย่างนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่เล่ามาให้ทราบ ยังมีอีกเยอะมากลักษณะคล้ยคลึงกัน ผมจึงรู้สึกอนาถกับการปฏิรูปว่าล้มเหลว หรืออยากให้สำนักโพลใดโพลหนึ่ง ลองสำรวจความเห็นและความรู้สึกของผู้ปฏิบัติงานก็ได้ว่าเป็นอย่างไรกับการปฏิรูป ผมทราบว่าท่านอาจารย์เป็นคนสำคัญคนหนึ่งใน กพร. ก็อยากทราบความเห็นท่านอย่างใจเป็นธรรม แต่ในความเห็นผมเห็นว่าการปฏิรูปทำเร็วเกินไป และทำพร้อมกันทีเดียวหมดทุกกระทรวง ผู้คิดและทำจึงต้องสนองตอบต่อความต้องการทางการเมืองอย่างเดียว โดยมองไม่เห็นรายละเอียดปัญหา และข้อปลีกย่อยอื่นๆเลยครับ ผมถามเพื่อนทุกคนตอบเหมือนกันหมดว่าแย่ แต่ภาคการเมืองบอกว่าทุกอย่างดีมีเจ้าภาพ ก็ไม่รู้ว่าใครถูกใครผิด แต่ที่รู้คือ แย่มากๆครับ ขออภัยถ้าคำถามไม่ถูกใจครับ
    คำตอบ
    เรียน คุณวิชัย การปฏิรูประบบราชการนั้น แยกต่างหากจากการปฏิรูปการศึกษา โดยการปฏิรูปการศึกษานั้นได้เริ่มต้นทำมาก่อน มีกฎหมายบังคับไว้เป็นการเฉพาะ แยกแยะไว้ในกฎหมายเรียบร้อยว่าจะให้รวมตัวหรือมีรูปโฉมอย่างไร มีการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อสานต่อให้เป็นรูปร่าง โดยองค์กรเหล่านั้นเป็นนักวิชาการทางการศึกษาและอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเสียเป็นส่วนใหญ่ รูปแบบจึงออกมาเป็นแท่ง ๆ ดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบัน แต่แม้ว่าจะเริ่มต้นทำก่อนการปฏิรูประบบราชการ แต่ก็แล้วเสร็จภายหลังการปฏิรูประบบราชการ ในระหว่างที่มีการดำเนินการปฏิรูประบบราชการนั้น ยังไม่เห็นชัดเจนว่าผลการปฏิรูปการศึกษาจะเป็นอย่างไร จึงได้แต่ทิ้งว่างไว้ โดยรองรับไว้แต่เพียงว่า การปฏิรูปกระทรวงศึกษาธิการและทบวงมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามผลการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผลก็ปรากฏว่ามีการยุบมารวมเป็นกระทรวงศึกษาธิการ แต่แยกออกเป็น ๕ แท่ง โดยหวังว่าจะสามารถทำระบบการศึกษาให้สอดคล้องกัน ตั้งแต่เริ่มเรียนจนจบมหาวิทยาลัย แต่ก็อย่างที่รู้กันอยู่ว่า ในวงการศึกษาในระดับต้นนั้น มีการเมืองของบุคลากรค่อนข้างแรง การปฏิรูปจึงสำเร็จเพียงทำให้บุคลากรมีความเป็นอิสระมากขึ้น มีตำแหน่งสูงขึ้น มีเงินเดือนสูงขึ้น ส่วนเนื้อหาของการศึกษานอกจากที่ท่องกันคล่องปาก ว่า "ให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้" "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" อะไรทำนองนั้นแล้ว อย่างอื่นก็ดูเหมือนยังสับสนอยู่มาก ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิรูประบบราชการนั้น ก็คงจะจริงอย่างที่คุณว่ามาว่ายังมีความสับสนไม่น้อย เพราะในชั้นที่มีการปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม มีความรีบร้อนอยู่ ประกอบกับข้าราชการทั้งฝ่ายการเมืองและฝ่ายประจำ และฝ่ายคิด ยังมิได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน และเมื่อจำเป็นต้องทำให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนด จึงมีลักษณะของการประนีประนอม ผสมผสาน ออมชอมกัน เพื่อให้เกิดขึ้นได้ โดยหวังว่า เมื่อทำขั้นต้นเสร็จแล้ว จะได้เรียนรู้ถึงอุปสรรค และความไม่ลงรอย แล้วจึงค่อยแก้ไขกันไป ที่ว่าการปฏิรูปทำเร็วเกินไปนั้น ยังน่าสงสัยอยู่ ว่าเร็วเกินไปจริงหรือไม่ ถ้าคิดในแง่ที่ว่า ระบบราชการที่เป็นอยู่เดิม ไม่เอื้อต่อการที่จะบริการประชาชน และไม่ทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน การปฏิรูปยิ่งเร็วก็ต้องถือว่าเป็นการดี อย่างไรก็ตาม หากแยกการปฏิรูปออกเป็นสองส่วน คือส่วนที่ว่าด้วยโครงสร้าง กับส่วนที่ว่าด้วยวิธีการ "ทำราชการ" หรือ วิธีการ "บริหารราชการ" การทำในสองส่วนพร้อม ๆ กัน ย่อมก่อให้เกิดปัญหาและความสับสนในง่ายกว่าการค่อยทำไปทีละส่วน แต่เมื่อรัฐบาลใจร้อน อยากให้เกิดผลโดยเร็วและเห็นเป็นรูปธรรม และตัดสินใจทำไปพร้อม ๆ กันทั้งสองส่วน จึงหลีกเลี่ยงปัญหาอย่างที่คุณว่ามาไม่ได้ ที่สำคัญปัญหาที่คุณเล่ามานั้น แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของข้าราชการประจำในทุกระดับ ที่ยังติดยึดอยู่กับความคิดเก่า คือ "ทำงานเพื่อความเจริญขององค์กร" หรือยังยึดถืออัตตาแห่งองค์กรอยู่อย่างเดิม อะไรที่หวงไว้เพื่อประโยชน์ขององค์กรก็ทำ ไม่ได้นึกถึงผลสำเร็จของภารกิจอันเป็นภาพรวมของรัฐ ถ้ามองในแง่นี้ก็จะเห็นว่าความจำเป็นที่จะต้องรีบปฏิรูปนั้นมีอยู่ แต่แม้ว่าจะมีความรีบเร่งในการปฏิรูป แต่แนวคิดใหม่ ๆ ที่กำลังนำเสนอกันอยู่นี้ บางทีก็ต้องยอมรับว่าเร็วเกินไป เพราะส่วนใหญ่มักจะนำมาจากแนวคิดหรือแนวทางของระบบต่างประเทศ ซึ่งเขาทำได้สำเร็จ เพราะผู้คนของเขาเข้าใจและมีทัศนคติในการทำงานแตกต่างไปจากคนไทย ดูตัวอย่าง ผู้ว่า CEO ก็ได้ ถ้าสดับตรับฟังให้ดี ก็จะพบว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดส่วนใหญ่ กำลังสารวนอยู่กับการมีอำนาจให้ครบถ้วนเบ็ดเสร็จ และหลายกรณีที่ได้อำนาจไปแล้วก็ไม่รู้จะใช้อำนาจนั้นอย่างไร จนบางทีดูเหมือนจะลืม ๆ กันไปด้วยซ้ำไปว่า หน้าที่สำคัญของ คนที่จะเป็น CEO ได้นั้น คือ การรู้ แก้ไข และพัฒนา พื้นที่ในจังหวัดได้อย่างเบ็ดเสร็จ อำนาจเหล่านั้นมีไว้เพียงเพื่อให้สามารถดำเนินการดังกล่าวได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่เป็นวัตถุประสงค์หลักของการให้มีอำนาจอย่างบูรณาการ หากแต่ให้มีหน้าที่อย่างบูรณาการ มีชัย ฤชุพันธุ์ 12 พ.ย. 2547
    มีชัย ฤชุพันธุ์
    12 พฤศจิกายน 2547