ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
ค่าส่วนกลาง
ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
อ่านทั้งหมด
มุมของมีชัย
ถาม-ตอบ กับมีชัย
ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่
ส่งคำถาม
คำสำคัญ
ค้นหาใน
หัวข้อ & เนื้อหาคำถาม
ผู้ส่งคำถาม
เลือกประเภทคำถาม-ตอบ
>
การเมือง
|
กฏหมาย
|
เศรษฐกิจ
|
ทั่วไป
|
มรดก
|
แรงงาน
|
ท้องถิ่น
|
มหาวิทยาลัย
|
ราชการ
|
ครอบครัว
|
ล้มละลาย
|
ที่ดิน
|
ค้ำประกัน
|
22128 ค้ำ
|
archanwell.org
|
ล้างมลทิน
|
24687
|
hhhhhhhhhhh
|
คำถามทั้งหมด
... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม
ปิดหน้าต่างนี้
คำถามที่
หัวข้อคำถาม
โดย
วันที่
012044
ประธาน คตง.ใช้อำนาจอะไรสั่งปลดคุณหยิงจารุวรรณ
แง
28 กันยายน 2547
คำถาม
ประธาน คตง.ใช้อำนาจอะไรสั่งปลดคุณหยิงจารุวรรณ
กรณีประธาน คตง.อาศัยคำวินิจฉัยของตุลาการศาลรธน.ทั้ง 12ท่านสั่งปลดคุณหยิงจารุวรรณ สงสัยค่ะ ระหว่างคำวินิจฉัยของศาลรธน. กับมติของวุฒิสมาชิกที่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง คำวินิจฉัยของศาลรธน.มีอำนาจสูงสุดสามารถหักล้างมติของวุฒิสภาได้ด้วยเหรอคะ ถ้าคุณมีชัยตอบว่าได้ งั้นก็แสดงว่า สถาบันที่มีอำนาจที่สุดในประเทศคือศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่กฎหมายรัฐธรรมนูญ ใช่มั้ยคะ งั้นเราจะมีรัฐธรรมนูญไว้ทำไม
คำตอบ
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยทำนองนี้ เมื่อประมาณสักสองปีมาแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่า ขบวนการสรรหากรรมการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเป็นโมฆะ เป็นผลให้กรรมการ กกต. ซึ่งบังเอิญได้รับเลือกให้เป็นประธาน กกต.ด้วย ต้องพ้นจากตำแหน่ง (แม้ตามความเป็นจริง ประธาน กกต.จะได้ยื่นใบลาออกด้วยก็ตาม) ในกรณีเรื่องนั้นบทบัญญัติของกฎหมายมิได้กำหนดขั้นตอน และขบวนการไว้ชัดเจน เหมือนอย่างกรณีของตรวจเงินแผ่นดินด้วยซ้ำไป แต่วุฒิสภาในขณะนั้น (ซึ่งก็ชุดเดียวกับปัจจุบันนี่แหละ) ก็ดำเนินการสรรหาและเสนอแนะให้มีการแต่งตั้ง กกต.ใหม่ ทำงานกันมาจนทุกวันนี้ ไม่มีเสียงคัดค้านอะไรสักแอะจากวุฒิสภาหรือสมาชิกวุฒิสภา ถ้าอยากรู้ว่ามติของวุฒิสภา กับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ใครจะใหญ่กว่ากัน ก็คงต้องกลับไปอ่าน มาตรา ๒๖๘ ของรัฐธรรมนูญ ที่บัญญัติว่า "คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ" อย่าว่าแต่เป็นการกระทำของวุฒิสภาเพียงสภาเดียวเลย ขนาดเป็นการกระทำของทั้งสองสภารวมกัน เช่นในกรณีที่ทั้งสองสภาผ่านร่างกฎหมายเรียบร้อยแล้ว หากเกิดมีใครสงสัยว่าร่างกฎหมายนั้นไ่ม่ชอบด้่วยรัฐธรรมนูญ ก็ยังมีช่องทางส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ และถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากฎหมายนั้นขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญก็กำหนดให้ร่างกฎหมายนั้นเป็นอันตกไป ทั้ง ๆ ที่ผู้แทนราษฎรจำนวน ๕๐๐ ท่าน และสมาชิกวุฒิสภาอีก ๒๐๐ ท่าน จะได้พิจารณาและมีมติกันมาแล้วก็ตาม อันที่จริงก็ไม่ได้แปลว่าองค์กรใดใหญ่กว่าองค์กรใด หากแต่ว่าแต่ละองค์กรต่างก็มีอำนาจและหน้าที่ที่แตกต่างกัน ในการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจ รัฐธรรมนูญกำหนดกรอบแห่งอำนาจของแต่ละองค์กรไว้ ถ้าได้กระทำตามกรอบนั้นโดยชอบแล้ว ใครก็มาหักล้างไม่ได้ แต่เมื่อใดที่มีคนสงสัยว่าได้มีการใช้อำนาจนั้นอย่างถูกต้องหรือไม่ ก็จำเป็นต้องมีคนชี้ขาด และเมื่อคนที่มีอำนาจได้ชี้ขาดแล้ว ทุกฝ่ายก็ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งก็เป็นหลักธรรมดาอยู่แล้ว แต่คนร่างรัฐธรรมนูญเขากลัวว่าจะไม่ชัีด กลัวจะมีคนตะแบง เขาจึงเขียนไว้เสียให้ชัดในมาตรา ๒๖๘ ข้างต้น ความทำนองนี้น่ะ ไม่ได้เขียนที่มาตรา ๒๖๘ เพียงแห่งเดียว เขาเขียนมาตั้งแต่มาตรา ๒๗ ด้วยซ้ำไปว่า "สิทธิและเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้โดยชัดแจ้ง โดยปริยาย หรือ "โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ" ย่อมได้รับความคุ้มครอง และผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐโดยตรงในการตรากฎหมาย การใช้บังคับกฎหมาย และ"การตีความกฎหมายทั้งปวง"" อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มิได้เกิดมีขึ้นเพราะศาลรัฐธรรมนูญสร้างขึ้นเอง หากแต่เกิดขึ้นตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มี ถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญก็ไม่เกิดขึ้น รัฐธรรมนูญจึงยังคงมีความสำคัญ และยิ่งใหญ่กว่าศาลรัฐธรรมนูญ มติของวุฒิสภาที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญเพิกถอน หรือชี้ว่าใช้ไม่ได้ หรือเป็นโมฆะนั้น ไม่ใช่มีเรื่องนี้เรื่องเดียว หากแต่มีมาหลายเรื่องแล้ว และก็ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ ศาลรัฐธรรมนูญท่านจะสอดส่ายสายตาเที่ยวได้ไปหยิบยกเรื่องทั้งปวงมาจากมือใคร ส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกขององค์กรต่าง ๆ นั้นเอง เกิดความไม่แน่ใจว่าการกระทำของตนหรือของเสียงข้างมาก จะถูกต้องหรือไม่ จึงเข้าชื่อกันเสนอเรื่องไป และเมื่อเสนอเรื่องไปแล้ว ก็ใช่ว่าจู่ ๆ ท่านจะรีบรับเรื่องเสียหมด ท่านก็พิจารณาก่อนเป็นเบื้องต้นว่า เรื่องที่เสนอมานั้น อยู่ในอำนาจหน้าที่ของท่านหรือไม่ ถ้าท่านเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของท่าน ๆ ก็ส่งกลับ ซึ่งก็มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย ต่อเมื่อท่านเห็นว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่ของท่าน ๆ จึงจะพิจารณาวินิจฉัยต่อไป แม้ประชาธิปไตยจะถือหลักเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ก็จะมีช่องทางเพื่อให้คนที่ไม่เห็นด้วยซึ่งเป็นเสียงข้างน้อย ได้มีโอกาสให้องค์กรที่มีอำนาจเป็นผู้ชี้ขาดว่าการกระทำของฝ่ายข้างมากถูกต้องหรือไม่ และเมื่อองค์กรชี้ขาด ได้ชี้ขาดแล้วทุกฝ่ายก็ต้องยอมรับในผลนั้น ถ้าดึงดันต่อไปในทำนอง มวยแพ้คนดูไม่แพ้ ในที่สุดก็คงต้องยกพวกตีกัน ดังได้กล่าวไว้ในคำตอบที่ 00262 ว่า ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั้น ทุกคนต้องยึด "อุเบกขา" ไว้ให้มั่น มิฉะนั้นจะมีแต่ความโกรธแค้น จนเสียสุขภาพได้ โปรดสังเกตว่ารัฐธรรมนูญมาตรา ๒๖๘ ไม่ได้บอกว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ "ถูกต้อง" หากแต่บัญญัติไว้แต่เพียงว่า "ให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพัน ฯลฯ (ทุกฝ่าย)" ซึ่งมีความหมายแต่เพียงว่า เมื่อเถียงกันมาหอมปากหอมคอแล้วก็ให้เป็นยุติ และปฏิบัติไปตามนั้นเถิด อย่าได้วุ่นวายกันต่อไปอีกเลย แต่ในทางวิชาการยังอาจถกเถียงกันต่อไปได้ว่า ที่ถูกต้องหรือสมควร ควรจะเป็นอย่างไร ซึ่งก็เป็นเรื่องทางวิชาการ และถ้ามีเหตุมีผลจนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญท่านคล้อยตาม วันข้างหน้าถ้ามีเรื่องทำนองเดียวกัน ท่านก็อาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยได้ แต่ก็จะไม่มีผลกระทบต่อสิ่งที่ท่านได้เคยวินิจฉัยมาแล้ว ที่ลงทุนตอบมาเสียยาว ก็เพื่อว่าเมื่อได้อ่านอะไรยาว ๆ แล้วจะคลายความขึ้งเครียดลงได้บ้าง แต่ถ้าอ่านแล้วกลับเป็นฟืนเป็นไฟยิ่งขึ้น ก็จนปัญญา มีชัย ฤชุพันธุ์ 24 ก.ย. 2547
มีชัย ฤชุพันธุ์
28 กันยายน 2547