ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
    มุมของมีชัย
  • ความคิดเสรีของมีชัย
  • เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
  • เรื่องสั้น
  • จดหมายถึงนาย
  •  
     
    เรื่องสั้น

    เรื่องของคนสองคน ตอนที่ 5 การนำชีวิตของตนไปเปรียบเทียบกับชีวิตคนอื่น

    การนำวัตรปฏิบัติของคนคู่หนึ่งไปเปรียบเทียบกับวัตรปฏิบัติของคนอีกคู่หนึ่ง ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือก่อให้เกิดประโยชน์แก่ใคร เพราะตลับแต่ละตลับย่อมมีฝาที่มีสีสรรและขนาดและเกลียวที่เข้ากันได้เป็นคู่ ๆ ไป ไม่อาจใช้สลับกันได้

    ตลับสีขาว ย่อมมีฝาเป็นสีขาว

    จะนำตลับสีขาวไปเทียบกับตลับที่มีตัวเป็นสีฟ้าและฝาเป็นสีฟ้าแล้วนึกว่าทำไมฝาของเราไม่เป็นสีฟ้าบ้าง เพราะดูแล้วสวยดี เห็นจะไม่ได้ ถ้าเราเปลี่ยนไปใช้ฝาตลับสีฟ้า นอกจากจะไม่สามารถปิดได้สนิทแล้ว สีที่ออกมาก็จะดูน่าเกลียดมากกว่าน่ารัก


    คนโบราณเขาเรียกว่า “ผิดฝาผิดตัว”


    ความจริงถ้าตลับเป็นสีขาวและมีฝาเป็นสีขาว ก็อาจตกแต่งให้สวยงามได้โดยการวาดแต่งเติมลวดลายหรือดอกไม้ให้ดูน่ารักน่าเอ็นดูตามแบบของชุดสีขาวได้ ซึ่งจะเป็นความสวย น่ารัก ไปตามแบบของตัว


    ข้อสำคัญเจ้าของต้องมีจิตใจที่จะตกแต่งให้สวยงามตามทัศนะของตัว โดยไม่มัวไปนั่งนึกถึงแต่ว่าทำไมฝาของเราจึงไม่เป็นสีฟ้า นอกจากจะเสียเวลาเปล่าแล้ว ถ้าเกิดได้อย่างนั้นเข้าจริงๆ อาจจะต้องเสียใจในภายหลังได้


    ถ้าเราต้องการของที่ unique และ authentic จริงๆ ชนิดที่ไม่มีใครเหมือนหรือไปลอกเลียนแบบใครมา ก็มีวิธีเดียวที่จะทำคือการสร้างหรือทำขึ้นด้วยตัวเอง


    แต่การจะทำอย่างนั้นได้จะต้องมี will power ที่มั่นคง ไม่ใช่นึกอยากให้เป็นก็จะเป็นได้ง่าย ๆ เนื่องจากการที่จะทำเช่นนั้นได้ต้องทำให้อีกฝ่ายหนึ่งคล้อยตามไปด้วย และการที่จะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งคล้อยตามนั้น เราจะต้องทำเสียก่อนจนติดเป็นความเคยชิน เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งเห็นหรือฟังทุกเย็นเช้าแล้วก็จะคล้อยตามไปในที่สุด เว้นแต่จะไปเจอเอาคนที่หินชาติเข้า เข้าทำนอง “ผิดฝาผิดตัว” ซึ่งถ้ากรณีเป็นเช่นนั้นก็นับว่าเป็นกรรมไป แต่อย่างไรก็ตามการทำเช่นนี้แล้วก็ใช่ว่าจะได้ดังประสงค์ เพราะความประสงค์ของมนุษย์นั้น มักจะเปลี่ยนแปลงและไม่ค่อยจะพึงพอใจอะไรได้ง่าย ๆ เว้นแต่เป็นคนที่ฉลาดและไม่มี “อวิชชา” เป็นเจ้าเรือน จึงจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้


    เหตุที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากมนุษย์มักจะอดเปรียบเทียบของของตัวกับของของคนอื่นอยู่เสมอ และมักจะคิดว่าของ ๆ คนอื่นดีกว่าของ ๆ ตัวเองอยู่ร่ำไป ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็จะหาความพอใจไม่ได้ เพราะถ้าเปรียบเทียบกับตลับ ก็จะมีตลับที่มีรูปแบบแปลก ๆ ใหม่ ๆ มีสีสรรที่แตกต่างกัน มีลวดลายที่แปลก ๆ และสวยงามออกมาอยู่เรื่อย ๆ


    ในชั้นแรกเมื่อเห็นลายดอกไม้ก็นึกว่าดอกไม้สวย จึงวาดลวดลายเป็นดอกไม้ ต่อมามีลายกนกออกมาใหม่ก็นึกเบื่อลายดอกไม้ อยากได้ลายกนกแทน จึงเติมลายกนกเข้าไป ครั้นมีลายกนกแล้ว ต่อมาเกิดมีรายทิวทัศน์วางตลาดอีก ก็อยากได้ทิวทัศน์อีก ถ้าวิ่งตามแฟชั่นหรือตามสิ่งที่คนอื่นมีอยู่ร่ำไป ในที่สุดตลับใบนั้นก็คงเป็นลายร้อยพ่อพันแม่


    หาความสวยงามหรือหาความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองไม่ได้


    ในที่สุดเจ้าของก็คงเบื่ออยู่นั่นเอง


    การที่จะหาความสุขได้ ในเบื้องต้นจึงต้องพินิจพิจารณาถึงใจของตัวเราเองก่อนเป็นหลักว่าเราต้องการสิ่งใดแน่ เราต้องการสิ่งนั้นจริงหรือ เราจะเบื่อกับมันไหม จะเอียนกับมันไหม ถ้าแน่ใจแล้วจึงค่อย ๆ บรรจงแต่งให้เป็นไปตามที่เราต้องการ และเมื่อได้ตามที่ต้องการแล้ว ต้องหยุดความพอใจไว้ที่ตรงนั้น ต่อไปใครเขาจะมีลวดลายอะไร สีสรรอย่างไร รูปทรงอย่างไร ต้องไม่เอาไปเปรียบเทียบ


    ต้องพอใจอยู่ตรงที่ ๆ เราได้เลือกแล้ว


    ความสุขอันแท้จริงจึงจะเกิดขึ้น


    ถ้าลองเปลี่ยนตัวอย่างจากตลับเป็นคน คงดูไม่จืด เช่น สมมุติว่า มีผัวเมียคู่หนึ่งเริ่มแรกสามีก็เป็นคนปกติธรรมดาทั่ว ๆ ไป ต่อมาเมียไปเห็นคู่ของเพื่อนคู่หนึ่งพูดจากันหวานจ๋อย ก็อยากให้สามีพูดบ้าง สามีก็พยายามจ๊ะจ๋าจนเคยชิน ต่อมาเมียไปเห็นอีกคู่หนึ่งที่สามีค่อนข้างจะเงียบขรึมจะพูดจะจาอะไรก มีน้ำเสียงเข้มงวด ดูเป็น man น่าทึ่งเป็นอันมาก ก็กลับมาบอกให้สามีเอาอย่างบ้าง สามีก็พยายามทำ แต่ลักษณะสองอย่างดังกล่าวมันขัดกันอยู่ในตัว ถ้าจะเลิกจ๊ะจ๋าเมียก็หาว่าเปลี่ยนแปลง ก็เลยต้องทำเสียงจ๊ะจ๋าที่มีสำเนียงดุดัน หลับตานึกถึงภาพแล้ว ใคร ๆ ก็คงต้องหวาดเสียว นี่ยังไม่นึกถึงว่าถ้าต่อไปเมียเกิดไปเห็นคู่ไหนเขา romantic กันเป็นประจำแล้วเกิดมาเคี่ยวเข็ญให้สามีเอาอย่างอีกด้วย คงจะยิ่งดูไม่จืดและสามีก็คงกลายเป็นคนติงต๊องไปเลย


    ความจริงคนสองคนที่จะมาอยู่ร่วมกันนั้น ไม่ใช่ของง่าย ๆ การเริ่มมาอยู่ด้วยกันอาจจะไม่ยากนัก แต่การที่จะให้อยู่ด้วยกันต่อ ๆ ไปอย่างมีความสุข สนุกร่าเริงนั้นไม่ใช่เป็นของง่ายเลย ถึงแม้จะรักกันเพียงใดก็ใช่ว่าจะมีวิถีชีวิตและอุปนิสัยใจคอเหมือนกัน


    ต่างคนต่างมีความเคยชินที่แตกต่างกัน ความชอบและไม่ชอบในสิ่งต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน อารมณ์สนุกและอารมณ์เศร้าที่แตกต่างกัน


    ความแตกต่างเหล่านี้มีตั้งแต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่


    เมื่ออยู่ร่วมกันแล้ว ความแตกต่างที่เคยคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เป็นเรื่องน่าเบื่อ และทนไม่ได้ โดยยังไม่ต้องนึกถึงเรื่องใหญ่ซึ่งจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก


    นับประสาอะไร เพียงแต่คนหนึ่งเป็นคนช่างพูดอีกคนหนึ่งเป็นคนเงียบ ๆ ตอนรักกันก็จะนึกว่าดี เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดอีกคนฟัง จึงนับว่าเป็นคู่ที่เหมาะเจาะกัน แต่พออยู่ด้วยกัน คนที่ชอบพูดก็จะเกิดความรำคาญที่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรอีกคนหนึ่งก็เอาแต่เงียบ ๆ อย่างมากก็พยักหน้า ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็จะเกิดขึ้น


    ที่นึกไว้ว่าดีจะได้ไม่มีคนแย่งพูดนั้น พอถึงเวลากลับเกิดความรู้สึกว่าเหมือนพูดกับสาก


    ในที่สุดเมื่อเบื่อมาก ๆ เข้าก็จะไปหาคนที่ชอบพูดเหมือนกันมาเป็นเพื่อนคุย หรือถ้ารุนแรงหน่อยก็ถึงกับทนอยู่ด้วยไม่ได้ไปเลย


    ส่วนคนที่เงียบ ๆ และเมื่อตอนรักกันก็นึกว่าดีจะได้มีคนคอยคุยให้หายเหงา แต่พอมาอยู่ด้วยกันเข้า ความช่างพูดที่เคยนึกว่าดีนั้น กลับกลายเป็นความน่ารำคาญ เพราะรู้สึกว่าเป็นนกแก้วนกขุนทองที่พร่ำทั้งวัน


    อยู่ไป ๆ จึงกลายเป็นคนเงียบยิ่งขึ้น เพราะเมื่อเบื่อต่อคนที่ช่างพูดเสียแล้วตัวก็เลยไม่อยากจะเอ่ยปาก เพราะถ้าเอ่ยปากเรื่องอะไรขึ้นมา อีกคนก็จะหยิบยกขึ้นมาพูดได้เป็นคุ้งเป็นแคว จนน่ารำคาญใจ และเมื่อเบื่อมาก ๆ เข้าก็เลยไม่อยากกลับมาบ้าน เพราะขี้เกียจฟัง


    ถ้าถามว่าแล้วคนสองคนที่รักกันนั้นจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร คำตอบก็คือเมื่ออยู่ด้วยกันใหม่ ๆ ต่างคนต่างต้องคอยสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่ายหนึ่ง ว่ามีความรู้สึกต่อการกระทำของเราอย่างไร ถ้ามีวี่แววว่าไม่ค่อยจะ enjoy นัก แม้ว่าเขาจะไม่แสดงอะไรออกมา (เพราะยังอยู่ในระยะน้ำผึ้งอยู่) ก็ต้องเริ่มลดราวาศอกลงบ้าง อะไรที่เราไม่ชอบให้เขาทำ เราก็ต้องไม่ทำ อะไรที่เราอยากให้เขาทำ เราก็ต้องทำ


    แต่แน่ละคนเรานั้นไม่สามารถจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ง่าย ๆ หรือเปลี่ยนแปลงได้โดยสิ้นเชิง เมื่อสามารถลดลงมาได้ครึ่งหนึ่งหรือใกล้ครึ่งหนึ่งอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับ และปรับตัวเองให้เข้าให้ได้กับอุปนิสัยที่เคยไม่ชอบมาก่อน และที่สำคัญก็คือทั้งสองฝ่ายต่างต้องร่วมกันสร้างสิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นเป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองคน (ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง)


    แล้วมีความสุขกับสิ่งที่ได้ร่วมกันสร้างขึ้นมา โดยไม่ไปวอกแวกกับคนอื่น


    แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าเราจะไม่ดูตัวอย่างจากคนอื่นเสียทีเดียว แต่การดูนั้นต้องดูอย่างคนฉลาด คือดูแล้วไตร่ตรองว่าสิ่งที่เราเห็นและดูเหมือนดีนั้น มันดีจริงหรือ มีสิ่งใดที่เป็นช่องโหว่หรือน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ปะปนอยู่หรือไม่ ถ้าเห็นว่าดีจริงและน่าจะทำให้ชีวิตเรามีความสุขขึ้น ก็ไม่ผิดกติกาอะไรที่เราจะเอามาเลียนแบบบ้าง แต่การเลียนแบบนั้นต้องไม่ใช่เอามาทั้งดุ้นหากแต่ต้องนำมาปรุงแต่งเสียใหม่ให้เหมาะสมกับอุปนิสัยของเราและคนของเรา


    ถ้าทำได้เช่นนั้น ย่อมเพิ่มพูนรสชาดแห่งชีวิตได้ดีขึ้น เรียกว่าเป็นการมองสิ่งต่าง ๆ อย่างคนชาญฉลาดและรู้จักหยิบฉวยสิ่งที่มองเห็น และนำมาเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้อย่างคนฉลาด


    คนบางคน (ซึ่งน่าเสียใจว่ามักจะเป็นส่วนใหญ่) มักจะมองสิ่งต่าง ๆ อย่างไม่ฉลาด โดยมองสิ่งที่ดี ๆ ที่เห็นจากคนอื่น ที่สร้างความสุขให้คนอื่น หรืออย่างน้อยก็นึกเอาว่าเป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้กับคนอื่นแล้วกลับเอาสิ่งนั้นมาสร้างความทุกข์ให้กับตัวเอง โดยดันไปมองว่าทำไมเราไม่เป็นอย่างนั้นบ้างหรือเราไม่โชคดีอย่างนั้นบ้าง แล้วก็มาคร่ำครวญเอากับชะตาชีวิตของตัวเอง หรือโยนไปให้เป็นความผิดของคนที่อยู่ใกล้เคียง


    โดยวิธีนั้นนอกจากจะเป็นการเอาสิ่งที่ดีมาทำให้ตัวเองเป็นทุกข์แล้ว ยังสร้างความทุกข์ให้กับคนข้างเคียงอีกด้วย


    ถ้าได้ตั้งสติเสียเล็กน้อยตนก็จะสามารถสร้างสิ่งดี ๆ เหล่านั้นให้เกิดขึ้นกับตัวเองได้ เหมือนกับที่คนทั่วไปมักจะมองความสำเร็จของคนหนึ่งด้วยความเกลียดชัง และมักจะมองแต่เพียงว่าดู ๆ ก็ไม่เห็นมันมีดีอะไรไปกว่าเรา และเมื่อมองแต่เพียงผิวเผินจึงมองไม่เห็นว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จนั้น ก่อนที่เขาจะก้าวมาถึงจุดนั้นได้เขาต้องใช้ความอุตสาหะพยายาม ความขยันหมั่นเพียร ความอดทน และมันสมองไปเท่าไร


    เมื่อมองโดยผิวเผินและไม่เห็นอะไรเด่นชัดจึงพากันสรุปเอาง่าย ๆ ว่าคงจะประจบสอพลอจึงสามารถก้าวขึ้นมาได้ ความจริงถ้าเพียงแต่ใช้สมองคิดเพียงเล็กน้อยก็จะเล็งเห็นได้ว่าถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็คงมีใครต่อใครก้าวขึ้นมาได้อย่างมากมาย


    คนเรามักจะมองแต่เพียงว่าตัวเองดีกว่าหรือเก่งกว่าคนอื่นอยู่เสมอ แต่ลืมนึกไปว่าความดีและความเก่งที่ตัวมีอยู่นั้นตัวได้เคยเอาออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์บ้างหรือยัง และถ้าได้ใช้แล้วมันดีหรือเก่งจริงอย่างที่ตัวเองนึกหรือไม่