ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
    มุมของมีชัย
  • ความคิดเสรีของมีชัย
  • เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
  • เรื่องสั้น
  • จดหมายถึงนาย
  •  
     
    เรื่องสั้น

    ความ (ใฝ่) ฝันของพ่อบุญน้อย ตอน เปิดสภาและเลือกประธาน

    หมายเหตุผู้เขียน: ท่านผู้อ่านกรุณารับทราบด้วยว่า เรื่องนี้ผู้เขียนได้เขียนขึ้นเป็นตอนที่หนึ่งและลงไว้ใน web นี้ ตั้งแต่วันที่ ๕ มกราคม ๒๕๔๔ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งครั้งแรก (หนังสือพิมพ์ได้นำไปถ่ายทอดในฉบับประจำวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔) โดยมีเจตนาที่จะให้ความรู้แก่ผู้อ่านในเรื่องราวที่เกี่ยวกับขบวนการทำงานของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยเขียนในเชิงขำขันเพื่อให้เกิดความสนุกในการติดตามอ่านอย่างไม่เบื่อหน่าย จึงได้สมมุติตัวเอกของเรื่องว่า “บุญน้อย” เพื่อใช้ความซื่อ ๆ ของพ่อบุญน้อยมองภาพการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร แต่เมื่อมีการเลือกตั้งในรอบสอง ปรากฏว่ามีท่านสมาชิกสภาผู้แทนที่มีชื่อคล้ายคลึงกัน ได้รับเลือกตั้งในลักษณะใกล้เคียงกับเรื่องที่ได้เขียนขึ้นก่อน ผู้เขียนเกรงว่าผู้อ่านจะเข้าใจผิดว่าเป็นการนำเรื่องของท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรท่านนั้นมาเขียน อันอาจทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ท่านได้ และโดยที่ผู้เขียนตั้งใจจะเขียนเรื่องนี้ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะจบขบวนการของการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร ในการเดินเรื่องต่อ ๆ ไป อาจมีการกระทำบางอย่างในลักษณะซื่อ ๆ เซ่อ ๆ เพื่อให้เกิดความขำขันเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียด จึงขอเรียนให้ทราบทั่วกันว่า “พ่อบุญน้อย” ในเรื่องนี้ เป็นตัวละครที่สร้างขึ้น การกระทำต่าง ๆ ของพ่อบุญน้อยที่ได้รับการบรรยายในเรื่อง มิได้เป็นการกระทำของท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มีตัวตนจริงท่านหนึ่งท่านใดแต่อย่างใด


    ในตอนที่แล้วผมลืมเล่าไปว่า หลังจากที่ กกต.ประกาศรับรองผมให้เป็นผู้ได้รับการเลือกตั้งแล้ว สื่อมวลชนต่างพากันค้นหาตัวผมจ้าละหวั่น เพื่อที่จะสัมภาษณ์ถึงชีวิตของผมที่ผ่านมาบ้าง ถึงเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้รับเลือกตั้งบ้าง แต่ไม่มีใครได้พบตัวผม เพราะผมออกจากบ้านเสียตั้งแต่เช้าวันรุ่งขึ้นที่นับคะแนนเสร็จ ผมจะรออยู่ได้อย่างไร ในเมื่อผมรู้อยู่แล้วว่าใครต่อใครคงจะต้องมาแสดงความยินดี และคงต้องมีการเลี้ยงดูกันอย่างเอิกเกริก ผมจะไปเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงดูได้ แม้ว่าจะมีเพื่อนบ้านมาปลอบใจอยู่บ้างว่าจะช่วยกันคนละไม้ละมือ แต่ในที่สุดผมคงต้องควักกระเป๋าจนได้


    ตอนสายวันรุ่งขึ้นผมจึงขับรถกระบะคู่ชีพออกจากบ้านไปคนเดียว โดยคิดว่าจะค่อย ๆ ขับไป จะถึงกรุงเทพฯ เมื่อไรก็สุดแต่ เพราะถึงอย่างไรผมคงไม่ต้องรีบร้อนไปรายงานตัวนัก กว่าการเลือกตั้งจะแล้วเสร็จสมบูรณ์คงต้องใช้เวลาอีกหลายวัน แต่อย่างว่าแหละครับรถผมมันโทรมเต็มที เครื่องเสียเสียบ้าง ยางแตกเสียบ้าง กว่าผมจะไปถึงกรุงเทพฯ ได้ก็อีก ๓ วันต่อมา จนเกิดการโกลาหลพอสมควรว่าผมหายไปไหน ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องดี เพราะเมื่อเขาหาตัวผมไม่พบเขาเลยไปสัมภาษณ์หัวหน้าพรรคและคนสำคัญในพรรคผม ทำให้หัวหน้าพรรคของผมค่อยมีความสุขขึ้นบ้าง หลังจากที่เศร้าสร้อยมานาน เนื่องจากไม่มีใครในพรรคได้รับเลือกตั้ง แล้วเลยพลอยเกิดประโยชน์กับผมขึ้นมาโดยไม่นึกฝัน เพราะเมื่อถูกถามถึงความยากจนของผม หัวหน้าพรรคเลยตกกะไดพลอยโจนรับปากว่าจะช่วยผมในเรื่องต่าง ๆ มากมาย นี่ผมก็หวังว่าท่านจะช่วยเหลือให้ผมได้มีชุดสากลและชุดเต็มยศ ไว้ใส่ในเวลามีพระราชพิธี ชุดที่เรียกกันว่า ”เต็มยศ” นั้นจะเป็นอย่างไรผมยังไม่เคยรู้จัก ยังสงสัยอยู่ว่าผมเกิดมาก็ไม่เคยมียศอะไรกับเขา แล้วผมจะแต่งเต็มยศได้อย่างไร


    แม้ว่าตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ ความเป็น ส.ส. ของผมจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔ อันเป็นวันเลือกตั้ง แต่ผมถือว่าชีวิตการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผมสมบูรณ์ เมื่อได้เข้าร่วมในรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาในวันอาทิตย์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ในเวลา ๑๗.๐๐ น. ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทำพิธีเปิด ผมเพิ่งได้รับความรู้คราวนี้เองว่าพระราชพิธี และรัฐพิธีเป็นคนละงานกัน แต่เดิมผมเคยนึกเอาเองว่า โฆษกทีวีหรือวิทยุเรียกสับสนปนเปกันตามสะดวกปาก เมื่อได้ถามท่านผู้รู้ที่มาในงานนั้นแล้ว ผมจึงทราบว่าพระราชพิธีหมายถึงงานของพระเจ้าอยู่หัว หรือที่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ ส่วนรัฐพิธีนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานของรัฐที่กราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จให้ทรงเป็นผู้ประกอบพิธี ผมคงจะได้เรียนรู้อะไร ๆ อีกมากนักในวันข้างหน้า


    ในพิธีเปิดประชุมรัฐสภาซึ่งมีขึ้นที่พระที่นั่งอนันตสมาคม ผมเลยมีโอกาสได้เข้าชมพระที่นั่งอันสวยงามเป็นครั้งแรก ผมอยากให้เมียและลูก ๆ ของผม รวมทั้งพ่อตาแม่ยาย พี่เมียน้องเมียและครอบครัวทั้งหมด ได้มาเห็นอย่างที่ผมได้เห็นบ้าง พวกเขาคงจะตื่นเต้นและกลับไปเล่าให้เพื่อนฟังกันได้เป็นเดือน ๆ นี่ผมก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่าได้กลับไปบ้านเมื่อไร จะไปเล่าให้ชาวบ้านฟังผ่านทางลำโพงรถขายผลไม้ ซึ่งแม้ผมจะมาเป็น ส.ส.ผู้ทรงเกียรติ (ตามที่เขาเรียกกัน) แล้ว กิจการขายผลไม้ของผมและครอบครัวคงจะต้องดำเนินต่อไป เพราะเป็นอาชีพสุจริต และเป็นหนทางที่ผมจะได้พบปะกับพี่น้องประชาชน ที่เขาอุตส่าห์เลือกผมเข้าไป มีอะไรที่ผมได้พบได้เห็นหรือไปทำมา จะได้นำมาเล่าให้เขาฟัง นอกจากจะเป็นการประชาสัมพันธ์ แล้วยังจะเป็นการให้การศึกษาแก่ชาวบ้านของผมในอันที่จะรู้ว่า ส.ส. และรัฐบาล เขาทำงานกันอย่างไร และชาวบ้านของผมจะได้อะไรจากการทำงานนั้น


    ผมไปถึงพระที่นั่งอนันตสมาคมตั้งแต่บ่ายสามโมง เพื่อจะได้มีโอกาสเดินดูทั้งภายนอกและภายในของพระที่นั่งไปด้วย เป็นการทำความคุ้นเคยเสียก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมาถึง แต่กว่าผมจะมาถึงได้นับว่าทุลักทุเลเต็มทน เพราะผมต้องไปนั่งแกร่วที่ร้านตัดเสื้อ เพื่อรอรับชุดเต็มยศ ที่หัวหน้าพรรคของผมท่านกรุณาไปสั่งตัดให้ และกำหนดแล้วเสร็จในวันนี้ ผมเลยต้องใส่มาทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ซัก แต่ก็ยังดูสะอาดกว่าเสื้อผ้าชุดเดิมของผมที่ซักมาจนกระดำกระด่างหมดแล้ว ผมเพิ่งรู้คราวนี้เองว่า แม้ผมจะไม่มียศเหมือนทหารหรือตำรวจ แต่ผมก็มีสิทธิแต่งเต็มยศได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าในชีวิตผมไม่เคยได้รับเหรียญตราอะไรกับใครเขา ที่หน้าอกเสื้อของผมจึงไม่มีอะไรเลยสักชิ้นเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆ ที่มาในงานล้วนแต่มีจนเต็มหน้าอก บางคนก็ติดทั้งด้านซ้ายและด้านขวา บางคนก็มีสายสะพายสีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง สีน้ำเงินบ้าง แต่ผมไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกอะไร แถมบางคนยังสะพายจากขวาไปซ้าย บางคนก็สะพายจากซ้ายไปขวา ผมเลยงงไปหมด แต่กว่าผมจะได้รับสายสะพายให้กลุ้มใจผมคงได้เรียนรู้จนแต่งได้ถูก แต่ผมนึกเล่น ๆ อยู่ในใจว่า คนที่มีเหรียญอะไร ๆ มาก ๆ นั้น น่าจะแบ่งมาให้ผมยืมสักเหรียญสองเหรียญ แต่ผมเก้อเขินไม่นานนักจึงได้พบว่าไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกที่ไม่มีเหรียญอะไรเลยที่หน้าอก ผลการเลือกตั้งคราวนี้ปรากฏว่าคนใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยเป็นอะไรมาเลยได้รับเลือกตั้งเข้ามาไม่น้อย คนเหล่านั้นจึงเหมือนผมที่ไม่มีอะไรที่หน้าอกเสื้อ


    เมื่อผมไปถึงบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม นั้น มีคนทยอยไปกันมากแล้ว เพราะในพิธีนี้นอกจาก ส.ส. ๕๐๐ คนแล้ว ยังมี ส.ว. อีก ๒๐๐ คน รวมทั้งบรรดาทูตานุทูตและเจ้าหน้าที่อีกจำนวนไม่น้อย ผู้คนจึงลานตาไปหมด ยืนจับกลุ่มคุยกันที่สนามด้านล่างพระที่นั่งบ้าง ยืนถ่ายรูปกันอยู่บ้าง ผมตัวคนเดียวจึงได้แต่เดิน ๆ ไปดูตามกลุ่มที่เขาคุยกัน เบื่อนักก็ไปดูเขาถ่ายรูปกัน ด้วยความรู้สึกว้าเหว่เต็มทน ไม่รู้จะคุยกับใคร แม้ผมอยากจะถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกเอาไว้อวดลูกเมียและพี่น้องประชาชนของผมบ้าง แต่ก็จนใจ เพราะไม่มีใครถ่ายให้ แต่ผมสังเกตว่ามีช่างภาพของสื่อมวลชนคอยถ่ายรูปผมอยู่เป็นระยะ ๆ เหมือนกัน ถ้าเคราะห์ดีเขาเอารูปนั้นไปลงในหนังสือพิมพ์ ผมคงมีโอกาสได้ตัดไปใส่กรอบอวดคนได้บ้าง


    จากการที่ไปยืนฟังตามกลุ่มต่าง ๆ ผมจึงได้ความรู้ว่าเรื่องที่เขาคุยกันนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องประสบการณ์ในการเลือกตั้งของแต่ละคนบ้าง เป็นเรื่องตลกโปกฮาบ้าง เป็นเรื่องนินทากันบ้าง ไม่เห็นมีกลุ่มไหนคุยกันเรื่องว่าจะร่วมมือกันทำงานอย่างไรเลย ผมเลยยังไม่ได้ความรู้อะไรมากนัก


    นอกจากการถ่ายรูปกันเองตามอัธยาศัยแล้ว พรรคการเมืองต่าง ๆ ยังรวมกลุ่มสมาชิกของพรรคถ่ายรูปร่วมกับหัวหน้าพรรคไว้เป็นที่ระลึกพร้อมทั้งแสดงพลังของพรรคแต่ละพรรคว่ามีสมาชิกมากน้อยเพียงไร ผมมองแล้วน้ำตาพาลจะซึม เพราะผมจะไปแสดงพลังอะไรกับใครเขาได้ ในเมื่อทั้งพรรคมีผมเป็นสมาชิกอยู่คนเดียว แค่จะถ่ายรูปแสดงความโดดเดี่ยวยังไม่มีปัญญาเลย


    เมื่อได้เวลาใกล้เสด็จพระราชดำเนินถึง เจ้าหน้าที่เขามาต้อนผู้คนให้ขึ้นไปบนพระที่นั่งเพื่อจัดแถวเตรียมรอรับเสด็จ เมื่อผมขึ้นไปถึงนั้นคนยืนกันเกือบเต็มห้องแล้ว ผมไม่มีทางจะแทรกตัวให้เข้าไปอยู่แถวหน้า ๆ ได้ (ถึงจะแทรกเข้าไปได้ ก็คงไม่มีใครเขายอมให้ผมยืน เพราะขนาดคนที่ยืนอยู่เดิมมีสายสะพายและเหรียญตราเต็มอก ยังค่อย ๆ ถูกเบียดจนมาอยู่แถวหลัง ๆ) จึงได้แต่พยายามเลือกมุมที่จะสามารถมองเห็นองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวผมเอง


    ผมซาบซึ้งในพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว ในพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งนี้อย่างมาก และได้ตั้งใจนับแต่นั้นว่าจะพยายามปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับพระราชดำรัสของพระองค์ท่านอย่างเต็มสติกำลัง ความในตอนหนึ่งของพระราชดำรัสที่ผมตั้งใจว่าจะต้องท่องไว้ให้ขึ้นใจมีว่า


    “การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคราวนี้ ประชาชนต่างตระหนักถึงความสำคัญของการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เพื่อให้การปกครองประเทศดำเนินไปตามระบอบประชาธิปไตยที่ทุกคนปรารถนา จึงขอให้สมาชิกแห่งสภานี้นึกถึงความสำคัญ และความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ให้มาก แล้วพยายามใช้สติปัญญาความสามารถปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้อง เที่ยงตรง ด้วยความสุจริต บริสุทธิ์ใจ และด้วยความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าแต่ละคนเป็นผู้ที่ประชาชนเลือกเข้ามาเป็นผู้แทน คือให้มาพูดแทนเขา ดังนั้นการปรึกษา ตกลง หรือการอภิปรายปัญหาใด ๆ ที่จะมีขึ้นในสภาแห่งนี้ จึงควรจะได้เป็นไปอย่างมีเหตุมีผล และด้วยความร่วมมือปรองดองกัน โดยคำนึงถึงประโยชน์ ที่พึงประสงค์ของประเทศชาติ และประชาชน เป็นเป้าหมายสูงสุด”


    ในทันทีที่ทรงมีพระราชดำรัสจบลง ผมยกมือขึ้นไหว้อยู่เหนือหัวเพื่อรับพระราชดำรัสใส่เกล้าใส่กระหม่อม เคราะห์ดีที่ผมยืนอยู่ข้างหลังไม่มีใครได้ทันสังเกตการกระทำของผม มิฉะนั้นผมคงถูกคนมองตาขวางแน่ ๆ เพราะไม่เห็นมีใครเขาทำอย่างที่ผมทำ


    วันรุ่งขึ้นอันเป็นวันจันทร์ มีการเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรก เพื่อเลือกประธานและรองประธานสภา นับเป็นการเริ่มลงมือทำงานเป็นครั้งแรกของสภา ผมตื่นแต่เช้ามืดด้วยความตื่นเต้น เดิมตั้งใจว่าจะขับรถกระบะคู่ชีพไปสภา แต่ท่านหัวหน้าพรรคท่านเป็นห่วงว่ารถจะไปตายเสียกลางทางจนไปไม่ถึง ท่านรับอาสาว่าจะส่งรถมารับ แต่ผมเกรงใจท่านไม่อยากให้ท่านต้องลำบาก อีกอย่างหนึ่งต่อไปผมจะต้องไปประชุมเป็นประจำ จะมัวมานั่งรบกวนท่านอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร ควรจะต้องปรับตัวหรือหาทางช่วยตัวเองเสียตั้งแต่วันแรก เดิมทีก็คิดว่าจะออกจากที่พักแต่เช้าเพื่อนั่งรถเมล์ไป แต่ที่พักที่ผมอยู่ไม่มีรถเมล์ปรับอากาศที่จะเดินทางทอดเดียวได้ จะขึ้นรถเมล์ธรรมดาก็เกรงคนจะหาว่าไม่รักษาเกียรติของ ส.ส. (ซึ่งผมยังไม่แน่ใจว่าจะมีมากและหนักหนาจนทำให้ชีวิตผมต้องลำบากขึ้นอีกมากน้อยเพียงใด) ในที่สุดผมจึงต้องนั่งรถแท็กซี่ไปสภา ทำให้รู้สึกว่าโก้ขึ้นมาเล็กน้อย เพราะผมได้นั่งตอนหลังโดยมีคนขับอยู่ข้างหน้า เหมือนกับบรรดาเศรษฐีทั้งหลาย แม้ว่ารถแท็กซี่ที่ผมนั่งออกจะเก่า ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นรถเก๋งเหมือนกัน ไม่เห็นจะต่างกันที่ตรงไหน เมื่อไปถึงสภาผมจึงรู้ว่าผมคิดถูกแล้วที่ไม่ขับรถมาเอง เพราะบรรดารถเก๋งของท่าน ส.ส.ทั้งหลายพากันติดแหง็กอยู่หน้าสภาเป็นสิบ ๆ นาที บางคนที่ขับมาเองก็หาที่จอดไม่ได้ต้องวนเวียนไปจอดข้างนอกเสียไกล และในที่สุดต้องเดินไกลจนเหงื่อตก สู้ผมไม่ได้ แท็กซี่เขาเข้าไปส่งผมถึงตัวอาคารรัฐสภา ๑ เลยไม่ต้องเดินไกลเหมือนคนอื่น


    กว่าการประชุมจะเริ่มต้นได้เวลาได้ล่วงเลยไปเกือบครึ่งชั่วโมง คงจะเนื่องจากวันนี้เป็นการประชุมครั้งแรก การจัดที่ทางสำหรับสมาชิกนั่งจึงยังคงไม่เรียบร้อย ผมสังเกตเห็นว่าได้มีการจัดที่นั่งแบ่งแยกตามพรรคการเมืองต่าง ๆ ให้เป็นส่วนสัด มีชื่อป้ายพรรคการเมืองตั้งไว้ข้างหน้า แต่ในที่นั่งของแต่ละพรรคนั้นเขามีการจัดลำดับอาวุโสกันอย่างไรผมไม่ทราบได้ พรรคของผมมีคนเดียว ผมจึงได้นั่งอย่างสง่างามตรงหน้าป้ายชื่อพรรคของผม ผมจึงไม่ต้องไปแย่งนั่งหัวแถวกับใคร เพราะผมเป็นทั้งหัวแถว กลางแถว และท้ายแถว ในตัวเองหมด


    เมื่อเริ่มประชุมเลขาธิการได้มาเชิญสมาชิกที่อายุสูงสุดขึ้นไปทำหน้าที่เป็นประธานชั่วคราว นี่ก็เป็นคราวเคราะห์ดีของผมอีกเช่นกัน เพราะถ้าผมเกิดมีอายุสูงสุดและเขาต้องมาเชิญผมให้ขึ้นไปนั่งเป็นประธานชั่วคราว ผมคงสั่นเป็นจ้าวเข้า และคงทำให้ที่ประชุมเขาต้องล้มกลางคันแน่ ๆ เพราะแม้ว่าผมจะได้ใช้เวลาตอนนอนไม่หลับเมื่อคืนนี้พยายามอ่านข้อบังคับการประชุมอยู่จนดึกดื่น แต่ก็หาได้เข้าใจไม่ว่าที่เขียน ๆ ไว้ในข้อบังคับนั้นมันคืออะไร และทำกันอย่างไร ขนาดท่านผู้อาวุโสซึ่งได้รับเชิญขึ้นไปทำหน้าที่ประธานชั่วคราว ท่านเคยมีประสบการณ์เป็นประธานสภาผู้แทนมาก่อน ผมยังรู้สึกเลยว่าท่านมีท่าทางเงอะงะพอสมควร แต่จะว่าบาปไป ท่านจะเงอะงะเพราะความชราภาพหรือเพราะสายตาของท่านไม่ค่อยดีนัก หรือเพราะความประหม่าก็ไม่รู้


    เมื่อท่านประธานชั่วคราวได้กล่าวนำให้ทุกคนปฏิญาณตนด้วยข้อความว่า “ข้าพเจ้านายบุญน้อยฯ ขอปฏิญาณว่า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย ทั้งจะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” ผมกล่าวตามนี้แล้วยังรู้สึกประหลาดใจว่าทำไมไม่เห็นมีข้อความทำนองว่า ถ้าข้าพเจ้าไม่ปฏิบัติตามให้ตกนรกหมกไหม้ ให้ใบหอกแทงหูซ้ายทะลุหูขวา เหมือนอย่างที่เคยได้ยินคนโบราณเขาสาบานกัน แต่ก็ดีแล้ว เพราะถ้าขืนปฏิญาณกันด้วยถ้อยคำหนัก ๆ อย่างนั้น กว่าจะครบวาระ ๔ ปี จะเหลือสมาชิกที่มีหูครบถ้วนสักกี่คนก็ไม่รู้


    ทันทีที่กล่าวคำปฏิญานเสร็จยังไม่ทันจะนั่งลงกันหมด ก็มีสมาชิกท่านหนึ่งยกมือขึ้น และประธานได้ชี้ให้พูด ท่านสมาชิกท่านนั้นลุกขึ้นยืนและขึ้นต้นด้วยคำว่า “ท่านประธานที่เคารพ…” แล้วก็ว่าของท่านเรื่อยไป โดยมีคำว่า “ท่านประธานที่เคารพและท่านสมาชิกผู้มีเกียรติ์” สลับเป็นระยะ ๆ เวลาที่ท่านผู้นั้นพูดคำว่า “ท่านสมาชิกผู้มีเกียรติ” คราวใด ผมเป็นอันสะดุ้งและขนลุกซู่ทุกที เพราะเริ่มตระหนักถึงเกียรติอันสูงส่งของความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผมคราวนี้เอง ผมคงจะต้องวางตัวให้ดี ให้สมกับเกียรติที่พวกเรายกย่องกันเองอยู่เป็นระยะ ๆ แต่เมื่อประชุม ๆ ไป ผมชักไม่ค่อยแน่ใจว่าคนอื่น ๆ เขารับรู้ถึงเกียรติดังกล่าว หรือเพียงแต่พูดติดปากกันเท่านั้น


    ท่านสมาชิกท่านนั้นท่านพูดอะไรยืดยาว ผมฟังรู้บ้างไม่รู้บ้าง แต่พอจับความได้ว่าท่านดูเหมือนจะสอนสั่งท่านประธานชั่วคราวและพวกผมที่นั่งอยู่ข้างล่างให้รู้ว่าควรเลือกประธานถาวรกันอย่างไร และควรเลือกคนอย่างไร โดยที่ตอนนั้นยังไม่มีใครเสนอให้ใครเป็นประธานเลย ระหว่างที่ท่านพูดอยู่นั้น มีคนอื่นนั่งยกมือบ้าง ยืนขึ้นยกมือบ้าง ทีแรกผมก็สงสัยว่าทำไมสภาแห่งนี้จึงไม่มีระเบียบเสียบ้างเลย ทำไมไม่ตกลงกันให้เป็นมั่นเหมาะว่าเวลาจะยกมือขึ้นขอพูดจะให้นั่งหรือให้ยืนกันแน่ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเวลาผมจะขอพูดบ้าง ผมเห็นจะต้องลุกขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ ประธานจะได้เห็นผมจะ ๆ และชี้ให้ผมได้พูด แต่เมื่อถามคนนั่งข้าง ๆ ซึ่งท่าทางอมภูมิรู้ไว้ไม่น้อย จึงได้รับคำอธิบายว่าเขามีระเบียบกำหนดไว้ชัดเจนแน่นอน ว่าถ้าใครจะพูดก็ต้องนั่งยกมือ แต่ถ้าอยากจะบอกว่าคนที่กำลังพูดอยู่หรือประธานทำไม่เข้าท่า หรือพูดไม่เข้าท่า ที่เขาเรียกกันว่า “ผิดข้อบังคับ” ละก็ ต้องยืนขึ้นแล้วยกมือ เขาเรียกว่าเป็น “การประท้วง” นี่เคราะห์ดีที่ผมไม่ผลีผลามยืนขึ้นบนโต๊ะอย่างที่นึกไว้ แต่ผมก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเองว่าแล้วคนที่ทำท่าจะยืนก็ไม่ยืน จะนั่งก็ไม่นั่ง อยู่ในท่ายงโย่ยงหยกแล้วยกมือขึ้นนั้น จะเรียกว่าเป็นการขอพูดหรือขอประท้วง เพราะเห็นมีคนทำท่าอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน อาจเป็นไปได้ว่าคนนั้นเตี้ยเกินไปกลัวว่านั่งยกมือแล้วประธานจะมองไม่เห็นก็ได้ ผมคงต้องศึกษาไปเรื่อย ๆ คงจะรู้ทัดเทียมคนอื่นเข้าสักวัน


    ระหว่างที่มีการพูด ซึ่งเขาเรียกว่า “อภิปราย” สลับกับการ “ประท้วง” กันอยู่นั้น ก็มีเสียงปรบมือ และฮือฮา เป็นระยะ ๆ ท่าทางสนุกดี ผมเห็นเขาปรบมือผมก็เลยปรบมือไปด้วย และกำลังนึกว่าถ้าต่อไปใครพูดถูกใจถึงขนาด ผมจะเป่าปากแบบที่ทำกันตอนดูหนังกลางแปลงเพื่อเป็นการให้กำลังใจและแสดงความมันในอารมณ์ด้วย แต่ก็เคราะห์ดีอีกนั่นแหละ มีใครคนหนึ่งยืนขึ้นแล้วยกมือเป็นการประท้วงประธาน ที่ไม่สั่งสอนสมาชิกให้รู้ถึงระเบียบและประเพณีของการประชุมที่ห้ามโห่,ฮือฮา,หรือปรบมือ ในเวลาที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจใคร ผมเลยได้รู้ว่าการประชุมสภาเขามีระเบียบประเพณีอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ใครจะทำอะไรได้ตามใจชอบ ต่อไปเห็นใครทำอะไรผมเห็นจะต้องยับยั้งชั่งใจไม่ไปทำตามเขา ต้องรอจนกว่าจะศึกษาหาความรู้ให้แจ่มชัดว่าเขามีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับเรื่องนั้นว่าอย่างไร


    หลังจากอภิปรายถกเถียงกันพอสมควรแล้ว ประธานท่านจึงขอให้มีการเสนอชื่อผู้สมควรเป็นประธานสภา ได้มีผู้เสนอสมาชิกคนหนึ่งจากพรรคที่ใหญ่ที่สุดให้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และมีสมาชิกอีกท่านหนึ่งเสนออีกคนหนึ่งจากพรรคที่ใหญ่เป็นอันดับสองขึ้นมาแข่งขัน ผมสังเกตเห็นว่าเมื่อมีการเสนอชื่อแล้ว จะมีสมาชิกจากพรรคเดียวกันยกมือ ซึ่งเขาอธิบายให้ผมฟังว่า การเสนออะไร ๆ ในสภาเขาเรียกว่า “เสนอญัตติ” (คงเหมือน ๆ กับที่เวลาพระท่านสวดญัตติในตอนบวชนาค และชาวบ้านเรียกกันว่าสวดยัด เลยห้ามไม่ให้คนมีท้องอยู่ในโบสถ์ในเวลาที่พระท่านสวดญัตติ) ส่วนการที่มีคนยกมือนั้นเรียกว่าการรับรอง ซึ่งญัตติทุกญัตติจะต้องมีคนรับรองจึงจะใช้ได้ จำนวนคนที่จะรับรองนั้นมีตั้งแต่ ๕ คน ไปจนถึง ๑๐๐ คน สุดแต่เรื่องใดใหญ่หรือเล็กเพียงใด ผมได้ฟังแล้วเหงื่อตก นี่ตลอดเวลาที่ผมเป็นสมาชิกสภา เกิดผมมีญัตติจะต้องเสนอบ้างผมจะทำอย่างไรดี ในเมื่อผมไม่มีเพื่อนสมาชิกจากพรรคเดียวกันคอยยกมือรับรอง แล้วนี่ผมจะทำอย่างไรดี ผมคงจะต้องเริ่มตีสนิทกับสมาชิกในพรรคอื่น ๆ ไว้บ้างตามสมควร เผื่อเกิดฉุกเฉินที่ผมจะต้องเสนอญัตติ เขาจะได้ยกมือรับรองให้ผม


    เมื่อมีการเสนอและมีผู้รับรองถูกต้องทั้งสองฝ่ายแล้ว จึงมาถึงการลงคะแนนซึ่งประธานบอกว่าตามข้อบังคับจะต้องทำด้วยวิธีลงคะแนนลับ ซึ่งยังต้องเถียงกันอีกว่าจะใช้วิธีลงคะแนนอย่างไรดี กว่าจะลงเอยกันได้ก็เสียเวลาไปมากอยู่ ผมมอง ๆ แล้วไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไรเลย น่าจะทำง่าย ๆ คือเมื่อใครกาบัตรเลือกใครเสร็จแล้วก็เดินไปหยอดลงในหีบเหมือนตอนไปลงคะแนนเลือกตั้ง ด้วยวิธีนี้จะง่ายและเสียเวลาเดี๋ยวเดียว แต่เขาก็ถกเถียงกันอยู่นานและในที่สุดต้องใช้วิธีเรียกชื่อทีละคนแล้วจึงเดินไปหยอดบัตรลงในหีบด้านหน้าบัลลังก์ของประธาน เลยเสียเวลาลงคะแนนไปเกือบสองชั่วโมง เหตุการณ์ในเรื่องนี้ทำให้ผมต้องสรุปว่า แม้ว่าสมาชิกทุกคนจะถูกเรียกว่าเป็น “สมาชิกผู้ทรงเกียรติ” และทุกคนเรียกประธานว่า “ประธานที่เคารพ” แต่เอาเข้าจริง ไม่มีใครไว้วางใจใครเลย แม้แต่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และดูเหมือนไม่มีใครเคารพประธานจริงอย่างที่พูด คำว่าประธานที่เคารพ เลยกลายเป็นคำอุทานเสริมบท หรือเป็นคำที่ใช้แทนคำว่า เอ้อ ๆ อ้า ๆ เวลานึกอะไรไม่ออก เท่านั้น


    ผมทราบมาว่าพรรคแต่ละพรรคได้มีการประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะเลือกใครเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่พรรคผมไม่มีการประชุม ผมจึงไม่รู้นโยบายของพรรคว่ามีว่าอย่างไรในเรื่องนี้ และจนถึงบัดนี้ ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าผมจะเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลดี ถ้าผมหรือพรรคของผมได้ตัดสินใจมาก่อน การลงคะแนนก็คงจะง่ายขึ้น ผมเลยต้องมานั่งคิดเอาเองว่าจะเลือกใครดี ผมนั่งคำนวณดูแล้ว ถ้าผมจะไปลงคะแนนให้กับคนจากพรรคซึ่งมีจำนวนสมาชิกมากเป็นอันดับสอง คะแนนของผมคงไม่ทำให้ท่านผู้นั้นได้รับเลือก หรือถ้าผมลงคะแนนให้กับคนที่มาจากพรรคที่มีสมาชิกมากเป็นอันดับหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำให้ผลการเลือกเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ถึงผมจะไปบอกเขาว่าผมลงคะแนนให้เขา เขาคงรู้สึกยังงั้น ๆ ไม่ได้เกิดผลดีหรือร้ายอะไรกับผมนัก เมื่อคิดได้ดังนี้แล้ว ผมจึงตัดสินใจว่าผมควรวางตัวเป็นกลาง ๆ ไม่เข้าข้างใคร โดยงดออกเสียง ซึ่งแปลว่าทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับการสนับสนุนหรือค้านจากผม และผมตั้งใจว่าต่อ ๆ ไปในทุกเรื่องทุกราว ผมจะวางตัวทำนองนี้ตลอดไป ผมจะถือเอาว่าใครทำดีและจะมีประโยชน์ต่อประเทศชาติหรือประชาชน ผมจะลงคะแนนให้ข้างนั้น


    ผลการลงคะแนนปรากฏว่าคนที่มาจากพรรคที่มีสมาชิกมากที่สุดได้รับเลือกเป็นประธานสภา ส่วนรองประธานสภาอีก ๒ คน ก็เป็นคนที่มาจากพรรคการเมืองที่เข้าร่วมรัฐบาลด้วย รวมความว่าพอใครเป็นฝ่ายค้านเลยไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลย ความจริงผลการเลือกตั้งเช่นนี้ก็เป็นไปตามที่เขาคาดหวังกันอยู่แล้ว ผมยังนึกไม่ออกว่าเขาจะถกเถียงอะไรกันนักหนา หรือเสนอชื่อแข่งขันกันไปทำไม จนเสียเวลาไปตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะลงคะแนนแล้วเสร็จผมหิวข้าวจนตาลาย มีคนให้เหตุผลว่าที่ต้องเสนอชื่อเข้าแข่งขันแม้จะรู้ว่าแพ้ ก็เพราะเป็นประเพณีที่ต้องการให้มีการแข่งขันกัน แต่ผมกลับเห็นว่าถ้ามีประเพณีเช่นว่านั้นจริงก็ควรจะเลิกประเพณีได้แล้ว เพราะการแข่งขันที่แพ้แน่ ๆ ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นการแข่งขัน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเล่นกีฬา ที่แม้จะแพ้หรือชนะก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ความสามัคคีกลมเกลียวและการสร้างจิตสำนึกแห่งการรู้แพ้และรู้ชนะ ที่เรียกว่าน้ำใจนักกีฬา หากแต่เป็นเรื่องของบ้านเมืองที่จะต้องร่วมมือกันทำงานโดยเร็ว การแข่งขันที่ทำมาเป็นการสร้างความแตกแยก กลายเป็น ๒ พวก ต่อไปจะทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ส่วนรวมได้อย่างไรกัน ที่สำคัญทำให้เสียเวลาตั้งนาน ให้ผมกลับไปใช้เวลาขายผลไม้เสียยังดีกว่า ยังทำให้มีความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจขึ้นบ้าง แม้จะเพียงนิดเดียวก็ยังดี


    เขาว่ากันว่าคนที่ดำรงตำแหน่งประธานสภาจะต้องดำรงตนเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร เพื่อที่จะได้ทำให้การประชุมสภาเป็นไปโดยเรียบร้อย ไม่เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบในการทำงาน แต่เมื่อถือเป็นหลักกันว่าพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดจะมีสิทธิได้ตำแหน่งประธานสภา ผมยังนึกไม่ออกว่าแล้วคนที่มาจากพรรคที่ว่านั้นจะเป็นกลางได้อย่างไร เวลาทำอะไร ๆ ก็คงอดนึกถึงพรรคที่ตนสังกัดไม่ได้ ผมเลยคิดของผมเล่น ๆ ว่า ไหน ๆ สภาผู้แทนราษฎรก็มีประเพณี และระเบียบข้อบังคับในเรื่องสารพัด ทำไมไม่สร้างประเพณีเสียใหม่ ให้พรรคที่มีเสียงน้อยที่สุดเป็นประธานสภา โดยพรรคการเมืองพรรคนั้นจะต้องไม่ไปร่วมเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านกับใคร อยู่เป็นกลาง ๆ คอยหนุนคนที่ทำความดีให้ทำงานได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น ที่ผมคิดเช่นนี้ไม่ใช่เป็นเพราะผมอยู่ในพรรคที่มีสมาชิกน้อยที่สุด แต่ผมเชื่อจริง ๆ ว่าคนที่มาจากพรรคเล็ก จะเป็นกลางได้สนิทกว่าคนอื่น เพราะไม่มีส่วนได้เสียในทางการเมืองกับใคร ยิ่งกว่านั้นเวลาเขามีการเปลี่ยนขั้ว จากฝ่ายค้านไปเป็นรัฐบาล และจากรัฐบาลมาเป็นฝ่ายค้าน อย่างที่เคย มีกัน จะได้ไม่กระอักกระอ่วนใจ ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรกลายเป็นไม่ใช่คนของรัฐบาล เพราะพรรคที่เคยเป็นรัฐบาลกลายมาเป็นฝ่ายค้านเสียแล้ว


    ยังเคราะห์ดีที่ผมได้แต่คิดอยู่ในใจ เพราะยังไม่สามารถเสนอความเห็นของผมให้เป็นญัตติในสภาได้ เนื่องจากผมยังหาคนรับรองญัตติไม่ได้


    มิฉะนั้นผมคงได้เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรตั้งแต่เป็นสมาชิกครั้งแรก เพียงแต่คิดก็ครึ้มใจไม่น้อย

    มีชัย ฤชุพันธุ์