กรุงเทพฯ ของเรา ดีขึ้นได้ถ้าตั้งใจและทำจริง ผมมั่นใจคนกรุงเทพฯ คือผมคิดว่าปัญหากรุงเทพฯ แก้ไขได้ ถ้าเราตั้งใจและทำจริง ไม่ใช่พูดอย่างเดียวแล้วไม่ลงมือปฏิบัติ นี่คือวิสัยทัศน์ อภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ด้วยภาพลักษณ์การเป็นนักบริหารผู้ที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จากบริษัทชั้นนำของประเทศไม่ว่าจะเป็นเป๊ปซี่ ฟริโต-เลย์ แกรมมี่ฯ และตำแหน่งสุดท้ายทีเอ ออเรนจ์ ก่อนที่ตัดสินใจมาเสนอตัวกับคนกรุงเทพมหานคร เป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการ ฯกรุงเทพ คำถาม :ทำไมถึงตัดสินใจ สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในนามพรรคประชาธิปัตย์
คุณอภิรักษ์ : จริงๆ แล้วหลายคนอาจจะไม่ทราบผมสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มา 10 กว่าปี ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งมาสนใจ แต่สนใจมานานมากตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้ว ในช่วงที่ทำงานไปทำงานแกรมมี่ก็ได้รับโอกาสให้เป็นกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้วก็มีโอกาสเข้าไปร่วมเป็นกรรมการที่ปรึกษาในการผลักดันการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่มีการปฏิรูปการศึกษาอยู่ ก็มีโอกาสได้เจอคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกำกับดูแลด้านนี้อยู่ แต่ไม่ได้สนิทกัน เพียงแต่ผมไปในบทบาทของเอกชน และในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ได้มีการพูดคุยกันแล้วได้รับชวนให้มาลงสมัครรับเลือกตั้ง ผมใช้เวลาตัดสินใจอยู่นานเพราะถือเป็นการเปลี่ยนชีวิต ซึ่งที่บ้าน คุณพ่อคุณแม่ ภรรยาก็ไม่ค่อยเห็นด้วยในตอนแรก ๆ เพราะยังอยากให้เราทำงานต่อไป ซึ่งเรื่องความมั่นคงผมไม่ค่อยห่วง เพราะว่าทำงานมานานขนาดนี้มีรายได้เก็บ เพียงแต่ว่าเป้าหมายไม่เคยอยากจะเป็นเศรษฐีหรือรวย คือว่าไม่ได้ต้องการใช้เงินเยอะ คือให้ความสำคัญกับครอบครัวมากกว่าเรื่องเงินทอง ถ้าผมเห็นเงินทองสำคัญผมก็ทำงานเอกชน ซึ่งก็มีรายได้ที่ดี แต่ผมไม่ได้รู้สึกตรงนั้น นอกจากนี้ ส่วนหนึ่งผมก็อยากทำงานการเมือง ทำงานเพื่อส่วนรวมมานานแล้ว แล้วผมเป็นสมาชิกพรรคมาตั้ง 10 กว่าปี และในขณะนี้ผมมีความพร้อมทั้งครอบครัว ทั้งประสบการณ์การทำงานในบริษัทเอกชน คิดว่าถ้าจะทำงานการเมืองถ้าทำเร็วน่าจะดีกว่ารอให้อายุ 50 กว่า ซึ่งตอนนั้นอาจจะไม่อยากทำหรือหมดไฟแล้ว
คำถาม : จุดเด่นของคุณอภิรักษ์ ถ้าจะให้คนกทม. ตัดสินใจเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.
คุณอภิรักษ์ : สิ่งสำคัญที่สุดเลยคือการมีส่วนร่วมของคนกรุงเทพฯ เพราะว่าคนยังไม่ค่อยตระหนักในเรื่องนี้ คนจะรู้สึกว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง เป็นหน้าที่ของผู้ว่าฯ ที่ต้องเป็นคนแก้ปัญหา แต่ความจริงในทุก ๆ เรื่องคนกรุงเทพฯ ต้องมีส่วนร่วม เหมือนกับเราอยู่ในบ้านของเรา เราก็ไม่อยากให้บ้านสกปรกรกรุงรัง เราคงไม่โยนทิ้งของให้สกปรก แต่เวลาที่เราออกมานอกบ้านในเมืองกรุงเทพฯ ทำไมเราถึงไม่รู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านของเรา แต่เราก็ทิ้งขยะได้ ตรงนี้เป็นเรื่องของการมีส่วนร่วม เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่คงต้องปลูกฝังตั้งแต่เด็กด้วย ซึ่งนี้เป็นเพียงตัวอย่าง ส่วนนโยบายของผมมีอยู่ 5 เรื่อง คือ
- กรุงเทพฯ เป็นเมืองแห่งการเรียนรู้ โดยจะให้การสนับสนุนในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการศึกษา การใช้เทคโนโลยีการศึกษาสมัยใหม่ การสอนเด็กกรุงเทพฯ ให้พูดและอ่านภาษาอังกฤษได้ และผลักดันศูนย์เยาวชนกีฬาให้ครบทั้ง 50 เขต เพราะเรียนอย่างเดียวไม่พอ จะต้องมีกิจกรรมทางด้านกีฬา เพื่อปลูกฝังเรื่องการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ รวมถึงปัญหายาเสพติดที่เราได้ยินกันมา
- ครอบครัวเป็นสุขในกรุงเทพฯ ของเรา คือความอบอุ่น ความมีคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เช่น ปัญหาเรื่องความปลอดภัยก็จะต้องมีการสำรวจพื้นที่รกร้าง พื้นที่เปลี่ยวต้องมีการติดไฟ ต้องเปลี่ยนพื้นที่รกร้างมาทำสวนหย่อม สวนสาธารณะ เรื่องความเป็นอยู่ในชุมชนก็ต้องยกระดับคุณภาพมาตรฐาน ในกรุงเทพฯ มีชุมชนอยู่กว่า 1,700 ชุมชน เราต้องเข้าไปสำรวจแล้วเข้าไปดูว่าต้องการความดูแลเรื่องอะไร เวลาเจ็บป่วยต้องดูศูนย์สุขภาพเพื่อชุมชน หรือผู้สูงอายุ
- สภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เรียกว่าสวย สะอาด สดใส กรุงเทพฯ ของเรา เราต้องดูเรื่องการปลูกต้นไม้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว จัดเก็บขยะให้มีประสิทธิภาพ เรื่องน้ำเสียตามคูคลองต่าง ๆ เรื่องมลภาวะ อากาศเป็นพิษ
- เรื่องชีวิตไม่ติดขัดในกรุงเทพฯ ของเรา เวลาเดินทางไปไหนมาไหนรถติด เช่น ช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดยาวรถจะติดน้อย เพราะคนไม่ต้องส่งลูกไปโรงเรียน เราก็จะผลักดันให้เกิดรถโรงเรียนที่มีมาตรฐาน จะช่วยปัญหาจราจรได้ระดับหนึ่ง และในแง่ของการปรับความเชื่อมโยงของระดับขนส่งมวลชน เช่น ขสมก. รถตู้ ให้เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้าที่มีอยู่แล้ว อื่นๆ ก็มีการพัฒนาทางเท้าให้ใช้ได้ เรื่องจิตสำนึกการใช้ทางเท่า สุดท้าย
- เรื่องทำมาหากิน ซึ่งทุกคนต้องตั้งตัวได้ในกรุงเทพฯ ที่ผมเน้น กรุงเทพฯ ของเราเพราะอยากให้ทุกคนมีส่วนรวม ทุกคนต้องตั้งตัวได้และเติบโตได้ในกรุงเทพฯ ของเรา โดยจะมีการผลักดันและพัฒนาอาชีพ แทนที่จะใช้งบประมาณกับข้าราชการกทม. อย่างเดียว เราก็จะดึงความร่วมมือกับภาคเอกชน สมาคมวิชาชีพต่าง ๆ จากสถาบันการศึกษาเข้ามา เพื่อช่วยฝึกอาชีพว่าควรจะทำอาชีพอะไร แล้วผมเองคิดว่าประสบการณ์ที่สามารถทำได้ โดยเฉพาะทำให้พี่น้องคนกรุงเทพฯ ที่ด้อยโอกาส คนที่ต้องการอาชีพที่ถาวรมั่นคง ผลักดันให้เกิดเถ้าแก่รุ่นใหม่ แบบนี้ที่จะเป็นโครงการช่วยผลักดันให้เกิดอาชีพต่าง ๆ ในกทม.มากขึ้น
คำถาม : ทราบว่ามีนโยบายจะพัฒนาตลาดนัดสวนจตุจักร
คุณอภิรักษ์ : เนื่องจากตลาดนัดจตุจักรเป็น สัญลักษณ์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของกทม. หลังจากที่ย้ายมาจากสนามหลวง ซึ่งตนจะหารือกับผู้ค้าขายที่มีกว่า 13,000 แผง เพื่อกำหนดแผนพัฒนาและรับฟังความคิดเห็นทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ เพื่อให้ประชาชนจับจ่ายซื้อของได้อย่างสะดวก ขณะนี้ตลาดนัดสวนจตุจักรมีปัญหาเรื่องการปิดถนน ทำให้ขายของ ไม่สะดวกโดยเฉพาะการขนย้ายสินค้า ซึ่งเพิ่งได้รับการร้องเรียนเข้ามา ดังนั้นหากตนได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. ปัญหานี้จะหยิบยกมาพิจารณาเป็นเรื่องแรก โดยประสานกับคณะผู้บริหารของกทม. แต่เบื้องต้นต้องแก้เรื่องความสะดวกก่อน แม้จะมีทั้งรถไฟฟ้า และรถไฟใต้ดิน แต่ต้องประสานความร่วมมือกับขนส่งมวลชลด้วย โดยกทม. มีหน้าที่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรให้พื้นที่พัฒนาเพื่อรองรับจำนวนคนที่เข้ามาจับจ่ายซื้อของ
คำถาม : คุณอภิรักษ์ สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านแล้วจะเข้ามาทำงานร่วมกับทางรัฐบาลได้อย่างไร
คุณอภิรักษ์: แม้ว่าผมจะสมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคฝ่ายค้านของสภาผู้แทนแต่ก็เข้าใจบทบาทและพรรคเองก็ให้ความเป็นอิสระในการผลักดันนโยบายในการเลือกทีมของรองว่า ฯ กทม. ที่จะเข้าไปทำงานร่วมกันและผมเองก็เน้นการบริหารจัดการประสิทธิภาพในการประสานงานกับหน่วยงานทุกฝ่าย และทำงานร่วมกับรัฐบาลเอง และผมเชื่อว่า แม้หลังการเลือกตั้งผู้ว่า ฯ กทม. ไม่มีการยุบสภาก่อน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ยังเป็นนายก ฯ อยู่ รัฐบาลก็ยังเป็นรัฐบาล เป็นแกนนำของพรรคไทยรักไทย ผมเองพร้อมที่จะผลักดันนโยบายทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวกรุงเทพ และรัฐบาลก็น่าจะเข้าใจว่าตรงไหนเป็นประโยชน์แก่พี่น้องชาวกรุงเทพ ฯ รัฐบาลก็น่าจะสนับสนุน และในการบริหารงานกรุงเทพมหานครต้องทำงานร่วมกับสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือสภากทม. ก็เป็นอีกเรื่องหนี่งที่ผู้ว่า ฯ กทม. จะมีความเป็นอิสระ มีงบประมาณเป็นงบประมาณของตัวเองในการที่จะผลักดัน
คำถาม : ในช่วงนี้ถือว่าเป็นโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ แล้วคุณอภิรักษ์อยากจะพูดอะไรบ้าง
คุณอภิรักษ์: ตอนนี้ผมก็นับถอยหลังก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง กทม. แล้วครับ ก็จะมีแคมเปญออกมา มีป้ายบิลบอร์ดเพิ่มขึ้นแล้วมีแผ่นป้ายที่ติดอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ที่พูดว่า กรุงเทพฯ ของเรา ดีขึ้นได้ถ้าตั้งใจและทำจริง ผมมั่นใจคนกรุงเทพฯ คือผมคิดว่าปัญหากรุงเทพฯ แก้ไขได้ ถ้าเราตั้งใจและทำจริง ไม่ใช่พูดอย่างเดียวแล้วไม่ลงมือปฏิบัติ แล้วเรื่องนี้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือจากพี่น้องชาวกรุงเทพฯ ทุกคน ส่วนเลือกตั้งในช่วงโค้งสุดท้ายก็เป็นเรื่องการรณรงค์หาเสียงเต็มที่แน่นอน หลายเรื่องที่ผมพูดมาทำได้เลย ไม่ต้องรองบประมาณใหญ่ๆ เช่น เรื่องการศึกษา ศูนย์เยาวชนการกีฬา เรื่องรถโรงเรียน เพราะผมเป็นผู้บริหารมา เวลาเราจะทำอะไรก็ต้องมีเป้าหมาย ต้องมีเวลา ต้องมีงบประมาณ แล้วมีทีมงานเข้ามาช่วยเฉพาะเรื่องนะครับ อันนี้ก็อยากให้มั่นใจ |