เรียนอาจารย์มีชัยครับ
ที่ผมถามไปครั้งที่สอง เพื่อนผมเพิ่ม confirm มาว่า คุณแม่เพื่อนเกษียณตั้งแต่ ๓๐ กันยา 2549 ครับ (เรื่องทุจริตเกิดระหว่างเดือนมกราถึงมิถุนา 49 ครับ) และเพื่อนได้หนังสือให้ไปพบ โดยมีข้อความทำนองว่่า ไล่ออกตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙ ซึ่งเพื่อนผมก็งงว่า ไล่ออกตอนนั้นได้ยังไงเพราะเกษียณ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ ไปแล้วไม่ใช่หรือครับ และหนังสือที่ส่งถึงทายาท(เพื่อนผม)มีเนื้อหาในทำนองที่จะเรียกเงินบำนาญที่คุณแม่ได้รับตั้งแต่ปี ๒๕๔๙ คืนด้วยครับ เงินบำนาญไม่เท่าไรครับ เพราะจำนวนไม่มาก ลูกหลานพอจะเสียคืนให้ได้ แต่ถ้าเรียกย้อนค่ารักษาพยาบาลที่เบิกหลังเกษียณอายุไปคงจะหนักแน่ เพราะใช้ไปเยอะมากครับ น่าจะเป็นสองสามล้านบาทครับ ถ้าเป็นกรณีคุณแม่เพื่อนผม ที่ทั้งการทำผิดอยู่ก่อนปี ๕๐ และการลงโทษให้ไล่ออก ก็ไล่ตั้งย้อนไปปี ๔๙ ก่อนปี ๕๐ (แต่คำสั่งเพิ่งออกมาเมื่อเดือนทีแล้ว) อันนี้จะล้างมลทิลด้วยพรบ.๕๐ ได้ไหมครับ และทายาทต้องจ่ายเงินคืนหลวงไหมครับ(บำนาญที่รับไปและค่ารักษาพยาบาลที่เบิก)
แล้วทำไมทั้ง ๆ ที่มีคำว่า เสียชีวิตแล้วในคำสั่งพิจารณาโทษ ให้ยุติเรื่อง ทำไมถึงยังมีหนังสือถึงทายาทแจ้งโทษไล่ออก และเขียนในทำนองจะเรียกเงินคืนได้อีกครับ
ขอรบกวนอีกครั้งครับ เกรงใจท่านอาจารย์มากจริง ๆ ครับ แต่เพื่อนผมกลุ้มใจมากครับ เพราะเงินก็ไม่ได้ใช้เอง และไม่ได้มีมาก ตอนนี้จริง ๆ เขาก็ยังไม่ได้ดำเนินการเรื่องที่คุณแม่เสียชีวิตต่อหน่วยงานอย่างเป็นทางการ คือ คนในองค์กรบางท่านทราบว่าท่านเสียชีวิตแล้ว แต่ส่วนใหญ่ไม่ทราบ และทายาทยังไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับบำนาญ (ดูเหมือนว่า เงินบำนาญจะยังเข้าบัญชีคุณแม่เพื่อนทุกเดือน แต่ไม่ได้มีใครไปเบิกมาใช้นับตั้งแต่คุณแม่เสียชีวิตครับ) อันนี้เพื่อนผมไม่ได้ตั้งใจจะโกงครับ เพียงแต่ว่า ตอนที่คุณแม่ท่านเสียเป็นช่วงใกล้ ๆ กันกับตอนที่สตง.ส่งเรื่องชี้มูลกลับมาที่หน่วยงานครับ ทางทายาทก็เลยไม่กล้าทำอะไร บำนาญที่เข้าอัตโนมัติก็ไม่ได้ไปเบิก บำเหน็จตกทอด ๓๐% ก็ไม่ได้ไปขอ เงินสงเคราะห์ศพอะไรก็ยังไม่ได้ไปเบิกเลยครับ เสมือนกึ่ง ๆ ราชการยังถือว่าคุณแม่เพื่อนผมยังมีชีวิตอยู่ แต่เกษียณไปก่อนน่ะครับ