เรียนสอบถามอาจารย์ค่ะ
เนื่องจากดิฉันได้ค้ำประกันการทำงานให้เพื่อน ในตำแหน่งพนักงานขาย โดยในสัญญามีการกำหนดความรับผิดเท่าผู้ถูกค้ำประกัน และต่อมาผู้ถูกค้ำประกันได้นำเงินจากการขายไปใช้ส่วนตัว จำนวน 200,000 บาท โดยในการนี้เจ้าของบริษัททราบเรื่องแล้ว และให้ทำงานต่อไป (โดยตกลงด้วยวาจา) โดยหักเงินจากเงินเดือน และคอมมิชั่นที่ต้องจ่ายให้พนักงานผู้นั้น (หักมาประมาณ 5 เดือนแล้ว) แต่ปรากฏว่าในปัจจุบันนี้เวลาพนักงานขายแจ้ง order สินค้าที่ลูกค้าสั่งซื้อไปยังบริษัท บริษัทก็ไม่จัดส่งให้ (ตามที่สอบถามจากฝ่ายต่าง ๆ ของบริษัท ได้ความว่าบริษัท ทำเช็คเด้งในจำนวนมาก บริษัทใหญ่ไม่ส่งของให้) จึงขอถามดังนี้ค่ะ
1. ในฐานะพนักงานขาย เมื่อขายของให้บริษัทไปแล้ว ลูกค้าทำเช็คเด้ง (จำนวน 100,000 บาท) ทางบริษัท สามารถนำเงินที่ไม่สามารถเรียกเก็บได้นั้น มารวมกับเงินที่พนักงานเอาไปใช้ได้หรือไม่ (มีเอกสารเช็คเด้ง)
2. พนักงานขายได้ทำการเขียนใบลาออกแล้ว และประสงค์ขอประนอมหนี้กับบริษัทซึ่งจะขอผ่อนส่งได้หรือไม่ (โดยทำเป็นสัญญา) และถ้าบริษัทได้กดดันให้อยู่ทำงานต่อและจะทำการหักเงินตามเดิม ไม่ทราบว่าการออกจากงานทำได้หรือไม่
3. ในฐานะผู้ค้ำประกัน จะถูกเรียกให้ชำระหนี้แทนพนักงานขายหรือไม่ และถ้าผู้ค้ำประกันในฐานะข้าราชการ มีหนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ และเงินกู้ธนวัฏที่ถูกหักอยู่แล้ว และไม่สามารถใช้คืนเงินในจำนวนมากได้ จะสามารถขอประนอมหนี้กับบริษัทได้หรือไม่ และต้องปล่อยให้ถูกฟ้องก่อนหรือไม่
4. ตามข้อ 2 และข้อ 3 ถ้าบริษัทจะดำเนินการฟ้องศาล และศาลมีคำสั่งแล้ว จะเป็นหลักการประนอมหนี้ได้หรือไม่
ขอบคุณค่ะ
เรียน คุณพัด
1. ก็ขึ้นอยู่กับว่าได้ทำความเสียหายให้บริษัทหรือไม่ ถ้าทำความเสียหายให้ บริษัทเขาก็คงเรียกเอาจากพนักงานคนนั้น และถ้าพนักงานนั้นไม่ชำระ เขาก็ต้องเรียกจากผู้ค้ำประกัน
2. การออกจากงานเป็นเรื่องความสมัครใจ ถ้าอยากออกจริง ๆ บริษัทเขาก็คงไม่ว่าอะไร เพียงแต่เขาก็คงเรียกให้เอาเงินมาใช้เขาทันที
3. การประนอมหนี้เป็นเรื่องการเจรจาตกลง จะเจรจาตกลงกันอย่างไรก็ได้ไม่มีอะไรห้าม เช่น คุณเป็นหนี้เขา ๑๐๐ บาท เจรจาประนีประนอมกันคุณอยากชำระให้เขา ๓๐๐ และเขาตกลง ก็ชำระเขา ๓๐๐ ได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย หรือถ้าเจรจาแล้ว เขาจะเอาจากคุณเพียง ๑๐ บาท และคุณตกลง ก็ชำระกันที่ ๑๐ บาท ก็ไม่ผิดกฎหมายเช่นกัน
4. มันแปลว่าอะไรล่ะ อ่านแล้วไม่เข้าใจ ลองอ่านคำตอบข้อ ๓ ให้ดี ๆ ก็แล้วกัน