ค้ำประกันให้น้อง
กราบเรียนท่านอาจารย์ที่นับถือ
พี่น้อง 4 คนมีชื่ออยู่ในโฉนดร่วมกัน เมื่อปี 2532 น้องคนหนึ่งต้องการทุนมาใช้ในธุรกิจที่น้องทำอยู่ จึงได้นำโฉนดเข้าจดจำนองเพื่อขอกู้เงินกับธนาคารเป็นจำนวน 5 ล้านบาท โดยมี พี่น้องทั้ง 4 คน แต่ละคนได้ทำหนังสือค้ำประกันให้ไว้กับธนาคาร ซึ่งเป็นแบบฟอร์มที่ไม่ได้ระบุวันที่ มีการระบุ ชื่อ ที่อยู่ และ อายุของผู้ค้ำประกัน และ เงื่อนไขต่างๆ รวมทั้งระบุไว้ว่า
ผู้ค้ำประกันตกลงยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ และจะชำระหนี้เงินต้นเป็นจำนวน -5,000,000.- บาท รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชำระ รวมตลอดทั้งค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ที่เกี่ยวกับสินเชื่อดังกล่าวให้แก่ธนาคารในทันทีที่ได้รับแจ้งจากธนาคาร
ต่อมาปลายปี 2536 น้องที่ทำธุระกิจได้ทำเรื่องขึ้นเงินจำนองจาก 5 ล้าน เพิ่มอีก 7 ล้าน รวมเป็น 12 ล้าน ต่อมาจากเหตุทางธุระกิจทำให้บริษัทประสพปัญหาทางการเงิน มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น เมื่อกลางปี 2542 น้องชายได้นำ สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้
จำนวน 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งเป็น สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ สำหรับเบิกเงินเกินบัญชี อีกฉบับหนึ่งสำหรับขายลดตั๋วเงิน ซึ่งทั้ง 2 ฉบับมีมูลหนี้เงินต้นที่สูงมาก และมีดอกเบี้ยค้างชำระเป็นจำนวนมากเช่นกัน และมีข้อความระบุว่า
ผู้ค้ำประกันตกลงเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามหนังสือนี้ต่อไป จนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ และให้หนังสือค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันได้ทำให้ไว้กับธนาคารตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน คงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน
พี่ชายคนหนึ่งซึ่งมิได้รู้เห็นกับการดำเนินการของธุระกิจนอกจากการเซ็นต์หนังสือค้ำประกันให้ไว้ตอนทำจำนองครั้งแรก จึงไม่ยอมเซ็นต์หนังสือ สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว สัญญาทั้ง 2 ฉบับจึงมีลายเซ็นต์ของลูกหนี้ (บริษัท) และผู้ค้ำประกันเพียง 3 คน (มีคนหนึ่งไม่เซ็นต์) แต่ธนาคารก็มิได้ฟ้องร้อนหรือบังคับจำนองเพื่อให้ใช้หนี้ และก็มิได้ติดต่อพี่คนที่ไม่ได้ลงลายเซ็นต์ในช่อง ผู้ค้ำประกัน เวลาผ่านไปอีกประมาณ 2 ปีครึ่งคือเมื่อต้นปี 2545 ธนาคารก็มีหนังสือส่งมาให้ลูกหนี้ (บริษัท)ขอให้ชำระหนี้ และลดส่วนเกินวงเงินเบิกเกินบัญชี ซึ่งจดหมายดังกล่าวส่งสำเนามาให้ผู้ค้ำประกันทั้ง 4 คน และจากนั้นก็ยังไม่มีอะไรอีกมาจนถึงปัจจุบันครับ
คำถามที่จะขอความอนุเคราะห์จากท่านอาจารย์มีดังนี้ครับ
1. พี่คนที่ไม่ลงลายเซ็นต์เป็นผู้ค้ำประกันในหนังสือ สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ทั้ง 2 ฉบับ จะต้องร่วมรับผิดชอบหนี้ที่เกิดขึ้น รวมทั้งสัญญาและเงื่อนไขในการผ่อนชำระหนี้ตามที่ได้ระบุไว้ใน สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ หรือไม่หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระได้ และการบังคับจำนองเพื่อขายที่แล้วยังไม่พอที่จะใช้หนี้
2. การที่ไม่ได้เซ็นต์หนังสือ สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว และให้หนังสือค้ำประกันที่ผู้ค้ำประกันได้ทำให้ไว้กับธนาคารตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน คงมีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน สามารถถือว่าไม่ต่อสัญญาค้ำประกันที่ให้ไว้ในครั้งแรกหรือไม่ครับ
3. หนังสือ สัญญารับสภาพหนี้เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ ทั้ง 2 ฉบับ ถือเป็นการ แปลงหนี้ใหม่ หรือไม่ครับ
และถ้าใช่ สัญญาค้ำประกันที่เซ็นต์ไว้ในครั้งแรก (เมื่อนำที่ดินไปจำนองเมื่อปี 2532 ในวงเงิน 5 ล้านบาท) ธนาคารจะสามารถนำมาบังคับใช้ได้หรือไม่ครับ หรือถือเป็นการระงับของสัญญาค้ำประกัน
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงครับ |