เรียน อาจารย์มีชัย ที่เคารพ
ขออนุญาติเล่าเรื่องราวให้อาจารย์ทราบดังนี้ค่ะ เมื่อประมาณปี 2533 ดิฉันเป็นผู้บริหารทำงานที่บริษัทคุณพ่อซึ่งตั้งให้พี่น้องทำ ตอนนั้นดิฉันได้กู้เงินธนาคารในนามตัวเอง มาใช้ค่าใช้จ่ายในบริษัท แต่ค้ำประกันโดยคุณแมโดยใช้โฉนดที่ดินของคุณแม่ 1 โฉนด กู้มา2.5 ล้านและกู้เงินผ่อนบ้านตัวเอง 1 โฉนด กู้ได้ 1.5 ล้าน รวมเป็น 4 ล้านบาท บริหารไม่กี่ปี ก็ปิดกิจการ และเป็นหนี้ธนาคาร เคยประนอมหนี้แล้ว ส่งเงินชำระหนี้ไปได้ก้อนหนึ่งก็ไม่สามารถส่งต่อได้ เลยปล่อยเลยตามเลย ต่อมาเรื่องเลยไปตั้งนาน ธนาคารก็มีหมายศาลฟ้องร้องที่ศาลเป็นคดีแดงเมื่อปี 2545 แล้วบังคับให้ขายทรัพย์สินที่จำนองไว้ 2 โฉนด และบอกว่าหนี้สินรวมเป็น 9 ล้านกว่า บ้านทั้ง 2 หลัง กรมบังคับคดีให้ขายทอดตลาด ขายได้เกือบ 3 ล้านบาท เราก็ไม่รุ้ว่าเจ้าหนี้เขาจะดำเนินการอย่างไร จนมาถึงวันที่ 15 ม.ค. 52 ศาลสั่งดิฉันให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งเราก็ยังไม่ได้หมายศาล แต่เผอิญได้ทราบข่าว เลยไปตรวจรายชื่อที่ อินเตอร์เน็ท ส่วนของคุณแม่ยังตรวจไม่พบ ขอสอบถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1.ปัจจุบันดิฉันได้มาทำงานที่บริษัทเอกชน มีเงินเดือนประมาณ 6 หมื่นบาท ยังเป็นโสด หักภาษีแล้วเหลือประมาณ 52,000 บาท เจ้าหนี้เขาพิทักษ์เงินเดือนเราทั้งหมด หรือไม่ ถ้าเขาจะหักเงินเดือนเรา หักได้อย่างมากกี่เปอร์เซ็นต์จากเงินเดือน ดิฉันต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายผ่อนบ้านที่อยู่ปัจจุบัน 10,000 บาท แต่ชื่อผู้กู้เป็นชื่อของน้องสาว และค่าน้ำ ค่าไฟ และอื่นๆ อีก 10,000 บาท และใช้จ่ายส่วนตัว,ค่าเบี้ยประกันชีวิต และเลี่ยงดูแม่ ซึ่งครอบครัวของพี่ชายและน้องชาย ก็อาศัยอยู่ที่นี่ ซึ่งทั้ง 2 คน ไม่มีงานประจำ และถูกศาลฟ้องล้มละลายเหมือนกันแต่ละเดือนค่าใช้จ่ายก็พอดีเลี้ยงครอบครัว รายละเอียดตรงหนี้ศาลเขาจะช่วยเราหรือเปล่าค่ะ
2. คุณแม่ เป็นแม่บ้าน ไม่มีรายได้ อายุ 69 ปี จะโดนฟ้องล้มละลายด้วยหรือเปล่า
เรียน Yun
1.คุณเป็นอีกคนหนึ่งในจำนวนมากมาย ที่เป็นหนี้แล้วก็นึกเอาเองว่าเมื่อไม่มีเงินชำระก็ปล่อยไป ซึ่งธนาคารเขาก็มักจะไม่ค่อยว่าอะไร เพราะดอกเบี้ยในอัตรามหาโหดจะวิ่งไปเรื่อย ๆ อย่างที่คุณประสบอยู่ ว่าเป็นหนี้แค่ ๔ ล้าน แต่กลายเป็น ๙ ล้าน คำถามของคุณในเรื่องว่าเขาจะหักเงินเท่าไรน่ะ คนที่ตอบได้ดีที่สุดคือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ซึ่งถ้าคุณไม่ไปคุยกับเขาเลย เขาก็คงอายัดเกือบหมด
2. จะมีอาชีพหรือไม่มี ถึงเวลาเขาก็ฟ้องได้ทั้งนั้น เพราะเมื่อฟ้องแล้วเขาก็จะได้มายึดทรัพย์หรือรอให้มีทรัพย์แล้วตามมายึดในภายหลังได้
การเป็นคดีความนั้น ก็เคราะห์ร้ายอยู่แล้ว การนั่งเฉย ๆ ไม่ไปศาลเพื่อหาทางไกล่เกลี่ย ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่