เรียนอาจารย์มีชัยที่เคารพ

ภรรยาของผมกู้เงินธนาคาร 5ล้านบาทเพื่อซื้อบ้านตั้งแต่กลางปี2539 ผ่อนไปได้ไม่ถึงปีก็ต้องหยุดเนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจในปี2540

ผมแต่งงานกับภรรยาในปี2542 พอกลางปี2546 บ้านหลังดังกล่าวก็ถูกขายทอดตลาดไปได้ในราคา 5.6ล้านบาท โดยผู้ที่ซื้อนั้นเป็นญาติของภรรยาเอง

หลังจากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ของทางธนาคารติดต่อแจ้งให้ทราบว่าภรรยาผมยังมีหนี้ซึ่งเป็นดอกเบี้ยค้างอีกประมาณ 7แสนบาท แต่คาดว่าน่าจะไม่มีปัญหาอะไรเพราะบ้านขายได้ในราคาสูงกว่าเงินต้น ซึ่งทางด้านภรรยาและผมก็เชื่อเช่นนั้นจริงๆ เนื่องจากทางธนาคารก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย

ปี2550 ผมพาครอบครัวย้ายไปอยู่ต่างประเทศ กลับมาประเทศไทยตอนต้นปี2551 กระทั่งปลายปี2551 จึงได้รับเอกสารจากญาติที่อยู่บ้านหลังนั้นและทราบว่าถูกฟ้องล้มละลายเป็นหนี้ซึ่งธนาคารคิดเป็นเงินถึง11ล้านบาท ขอเรียนถามว่า

1. ควรทำอย่างไรเพราะทราบว่ามีการนัดให้ไปศาลถึง 2 ครั้งแล้ว ล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย. 2551 แต่ภรรยาไม่ได้ไปเพราะตอนนั้นยังไม่ทราบเรื่อง

2. หลังจากกลับมา ผมซื้อรถและบ้าน(กู้คนเดียวภรรยาไม่ได้ทำงาน) ทรัพย์สินเหล่านี้เจ้าหนี้จะยึดได้หรือไม่ครับ

3. การเพิกเฉยไปเลยจะมีผลรุนแรงอย่างไรบ้างครับ

4. สภาพล้มละลายจะมีผลอยู่กี่ปีครับ ได้ยินบางคนว่า 3ปี 5ปี 10ปี แต่ละกรณีต่างกันอย่างไรครับ

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

1. ควรให้ภรรยาไปติดต่อที่ศาลล้มละลาย เพื่อจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

2. ถ้าคุณซื้อภายหลังจากการที่ภรรยาล้มละลายแล้ว ก็ไม่เป็นไร เพราะสินสมรสถูกแยกกันแล้วเมื่อมีการล้มละลาย

3. ก็มีผลอย่างที่เป็นอยู่นี่แหละ คือล้มละลายแล้วยังไม่รู้ ต่อไปก็อาจเกิดผลร้ายอะไร ๆ ที่ไม่รู้ตามมาอีกได้

4. ระยะเวลามี 2 ระยะ คือ ๓ ปี ในกรณีให้ความร่วมมือกับเจ้าพนักงานและไม่ได้ทุจริต  อีกระยะหนึ่งคือ 10 ปี นับแต่มีการรวบรวมทรัพย์สินครั้งสุดท้าย  คนล้มละลายบางคนทิ้งไว้เฉย ๆ นึกเอาเองว่าไม่เป็นไร  อาจกลายเป็นคนล้มละลายไปตลอดชีวิตก็ได้