ปี2541เริ่มรับราชการ ที่กรุงเทพฯ และปลายเดือน ส.ค. 2545 ทำสัญญากู้เงินโครงการ กบข.เพื่อปลูกสร้างบ้าน ที่ อ.วิเศษฯ จ.อ่างทอง เดือนพ.ย. 2545 ได้รับคำสั่งให้ไปปกิบัติราชการ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี จึงทำเรื่องเบิกค่าเช่าบ้านที่เบิกได้ตามสิทธิ มาตรา7 ทำสัญญาเช่าบ้านน้องสาว ที่อ.วิเศษฯ เบิกได้ตามระเบียบ แต่ทาง ฝ่ายการคลัง กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หน่วยงานต้นสังกัด อ้างว่ามีบ้านของตนเองที่ อ.วิเศษฯ( กำลังปลูกสร้างและไม่ใช่ท้องที่ปฏิบัติราชการ) ให้ระงับการเบิก ตั้งกรรมการสอบสวนวินัย แต่สรุปไม่มีความผิด แต่ให้คืนเงินที่เบิกไปแล้วบางส่วน จึงทำเรื่องหารือด้วยตนเองไปที่กระทรวงการคลัง ได้รับคำตอบเบิกได้ตามสิทธิ แต่สรุปตอนท้ายไม่ให้เบิก โดยไม่มีเหตุผลสนับสนุน ทางหน่วยงาน ได้ทำเรื่องหารือคณะกรรมการกฤษฎีกา และผลการหารือ เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2548 สรุปให้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ แต่คณะกรรมการสอบสวนวินัย ยังยืนยันให้คืนเงินที่เบิกไปแล้ว และไม่สรุปผลตามคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่วินิจฉัยแล้ว ระยะเวลา 2 ปีกว่า ที่ดำเนินเรื่องทั้งหมด ทำให้เกิดความเดือดร้อน ท้งต้องมีภาระจ่ายค่าเช่าบ้าน และผ่อนชำระเงินกู้ ต้องไปกู้เงินนอกระบบเพื่อมาใช้จ่าย จึงขอเรียนถามว่า เมื่อไม่มีกฎหมายที่ออกมาโดยตรงให้ผ่อนชำระเงินกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน ในท้องที่ใกล้เคียงที่สามารถเดินทางไปปฏิบัติราชการ ไป- กลับได้ไม่เสียหายต่อราชการ จะใช้วิธีการอุดช่องว่างทางกฎหมายที่ ใช้บทบัญญัติทางกฎหมายที่มีลักษณะใกล้เคียงได้หรือไม่ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านราชการ ปี 2547 มาตรา 7(2) กำหนดไว้ว่ามีบ้านของตนเอง ที่มีภาระหนี้สินกับธนาคารให้สามารถเบิกค่าเช่าบ้าน จึงจะขอเปลี่ยนแปลงสิทธิจากการเบิกค่าเช่าบ้านที่มีอยู่ เป็นผ่อนชำระเงินกู้เพื่อการปลูกสร้างบ้านได้หรือไม่
ขอบพระคุณค่ะ
เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาวินิจฉัยว่ามีสิทธิเบิกได้ ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาใหม่ให้ทำได้ ก็ควรยื่นขอเบิกได้ ส่วนของเก่านั้นก็น่าจะลองฟ้องศาลปกครองดู