เรียน ท่านนายกสภา มรภ.วไลยอลงกรณ์
ดิฉันเป็นผู้ปกครองของนักเรียนชั้น ป. 2 รร. สาธิต มรภ.วไลยอลงกรณ์ ซึ่งขณะนี้มีอาการไม่อยากไปโรงเรียน จากการสอบถาม ได้รับคำตอบว่า กลัวถูกคุณครูตี คุณครูมักจะตีด้วยไม้ ด้วยเหตุผล เช่น คัดไทยไม่สวย ลืมนำสิ่งของที่คุณครูสั่งไปโรงเรียน และมีการพูดขู่อยู่เสมอว่า ถ้าไม่ตัดผมจะโดนตี เป็นต้น ลักษณะดังกล่าว เป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะของคนที่เป็น ครู ดิฉันไม่ได้จบการศึกษาด้านศึกษาศาสตร์ ไม่เคยเรียนวิชาด้านการศึกษา ดิฉันไม่เคยตีลูกด้วยไม้ แต่จะพูดกับเขาด้วยเหตุผล ถ้าทำหรือไม่ทำในสิ่งที่แม่แนะนำ จะเกิดผลดีหรือไม่ดีต่อตัวเขาอย่างไร การคัดไทยนั้นเป็นทักษะและอาศัยการฝึกฝน หากดิฉันเป็น ครู ดิฉันคงบอกนักเรียนว่า คัดได้สวยแล้ว แต่ถ้าฝึกฝนมากขึ้น จะคัดได้สวยขึ้น โดยธรรมชาติของเด็ก เขาจะเชื่อและกลัวคุณครูมากกว่าพ่อแม่ และเด็กจะชอบหรือไม่ชอบวิชาใด คุณครูมีอิทธิพลต่อเด็กอย่างสูง และหลานของดิฉันเรียนอนุบาล 3 ยังไม่สามารถเขียนและอ่าน ก ฮ และ 0 9 จากการสอบถามผู้ปกครองท่านอื่น ก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน ในขณะที่ลูกของดิฉันอ่านออกเขียนได้ตั้งแต่อนุบาล 2 ทั้งๆ ที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน หลักสูตรเดียวกัน ดิฉันเกรงว่าเมื่อขึ้นชั้น ป. 1 จะเป็นภาระแก่คุณครู และเด็กจะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการเรียน จากที่กล่าวมาข้างต้น ขอเรียนปรึกษาท่าน ดังนี้
1. การตีด้วยไม้ เป็นนโยบายของผู้บริหารใช่หรือไม่ ถ้า ใช่ ดิฉันควรดำเนินการอย่างไรต่อไป เนื่องจากคงเปลี่ยนแปลงได้ยาก คงต้องเปลี่ยนแปลงที่ครอบครัวเรา
2. ดิฉันต้องการทราบวัตถุประสงค์ของหลักสูตรอนุบาล 3 เมื่อเรียนจบตามหลักสูตรแล้ว นักเรียนจะมีความสามารถด้านใด อย่างไรบ้าง เนื่องจากขณะนี้เปิดเทอมมาครบ 1 เดือนแล้ว นักเรียนยังไม่มีหนังสือเรียน มีเพียงกระดาษขนาด A4 จำนวน 3 แผ่น พับครึ่ง เย็บตรงกลาง เพื่อให้นักเรียนวาดภาพตามจินตนาการ นักเรียนวาดภาพเก่ง แต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ แล้วจะมีประโยชน์อะไร
ดิฉันเข้าใจ นโยบายการศึกษาของ รร. สาธิต มรภ.วไลยอลงกรณ์ คือ Learn and Play = Plearn แต่คงไม่ใช่การเน้นกิจกรรมเป็นหลัก แต่อ่อนวิชาการ เมื่อนักเรียนอ่อนวิชาการ กลับถูกลงโทษด้วย การตีด้วยไม้
ดิฉันจึงเรียนมาเพื่อปรึกษาท่าน
ขอแสดงความนับถือ
เรียน ผู้ปกครอง
เนื่องจากปัจจุบันไม่ได้เป็นนายกสภาของมหาวิทยาลัยแห่งนี้แล้ว จึงไม่มีโอกาสที่จะไปสอบถามผู้บริหารได้ แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าคงไม่มีใครกำหนดนโยบายให้ตีเด็ก ทางที่ดีควรลองพูดคุยกับคณะครูอาจารย์ที่โรงเรียนสาธิตดูก่อน บางทีอาจได้ข้อเท็จจริงที่แตกต่างไปก็ได้ หรืออย่างน้อยก็จะได้ปรึกษาหารือถึงวิธีการเรียนการสอนที่จะเป็นประโยชน์ต่อเด็กอื่น ๆ ด้วย