กราบเรียน นายกสภามหาวิทยาลัย
ขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างพรบ. มหาวิทยาลัยตามที่สภาอาจารย์ของมหาวิทยาลัย ได้มีบันทึกข้อความแจ้งให้คณาจารย์ทราบเกี่ยวกับเรื่อง ขอให้ศึกษาและโปรดแสดงความคิดเห็นร่างพระราชบัญญัติของมหาวิทยาลัย พ.ศ .พร้อมแนบร่าง พรบ. ฉบับผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา โดยในบันทึกข้อความระบุว่า
ตามที่ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย พ.ศ ได้ผ่านความเห็นชอบของวุฒิสภา เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2547 โดยเห็นชอบให้แก้ไขตามที่คณะกรรมการวิสามัญ ฯ เสนอ และขณะนี้ร่าง พรบ. ดังกล่าวก็ยังไม่เป็นที่ยุติ เนื่องจากต้องรอความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ ดังนั้นสภาอาจารย์จึงขอส่งร่าง พรบ. ให้ท่านและบุคลากรในหน่วยงานของท่านเพื่อพิจารณาและศึกษา แสดงความคิดเห็น ฯ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อมหาวิทยาลัยและเป็นแนวทางปฏิรูปมหาวิทยาลัยของชาติ และหากบุคลากรในหน่วยงานของท่านไม่แสดงความคิดเห็น สภาอาจารย์ถือว่าท่านเห็นชอบร่าง พรบ.ดังกล่าวนี้ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาเผยแพร่ให้บุคลากรได้ทราบด้วย จักขอบคุณยิ่ง
จากข้อความข้างต้นหากให้ตีความกันแล้ว น่าจะเป็นการแสดงความต้องการสนับสนุนร่างพรบ.ฉบับวุฒิสภาที่ค่อนข้างชัดเจน ทั้ง ๆ ที่เราทราบกันแล้วว่ามีประเด็นแก้ไขจากฉบับสภาผู้แทน ฯ ค่อนข้างมาก ดังนั้นเพื่อความเข้าใจกันให้มากขึ้น จะขอยกตัวอย่างประเด็นที่สำคัญ และได้รับการมองว่าอาจก่อความยุ่งยากตามมา อาทิ มาตรา 73 และ 76 ความว่า ให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี คณบดี ผู้อำนวยการ หัวหน้าภาควิชา และหัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะเทียบเท่า ฯ ดำรงตำแหน่งต่อไป และต่อไปนี้จะเป็นข้อความที่ถูกตัดออกคือ แต่ถ้าบุคคลดังกล่าวเป็นข้าราชการของมหาวิทยาลัย ต้องแสดงเจตนาเปลี่ยนสถานภาพเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยในสิบห้าวันนับแต่วันที่พรบ.นี้ใช้บังคับ ฯลฯ ทั้งนี้ข้อความที่ได้รับการตัดออกจัดเป็นประเด็นสำคัญด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้บริหารองค์กรหรือหน่วยงานที่ออกนอกระบบหรือในกำกับของรัฐจำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นและมีความชัดเจนเป็นผู้นำในการออกนอกระบบราชการก่อนบุคลากรระดับอื่น ๆ ดังนั้นการออกจากระบบหรือจากการเป็นข้าราชการจึงมีความจำเป็นเพื่อความเป็นอิสระและคล่องตัวในการชี้นำองค์กรให้ก้าวไกลมุ่งสู่การพัฒนาทั้งในระดับชาติและแข่งขันได้ในระดับสากล จึงขอเรียนถามดังนี้
ด้วยความเคารพจาก
เสียงประชาคม
เรียน เสียงประชาคม
1. จะเหมาะสมหรือไม่ เป็นเรื่องของแต่ละความคิด สุดแต่พื้นฐานของแต่ละคน
2. ในฐานะที่ประชากรในมหาวิทยาลัยเป็นผู้นำใน "การมีส่วนร่วม" เมื่อมีอะไรที่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยของเรา จะปล่อยให้คนอื่นตีขลุมได้อย่างไร ถ้าเห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสม ก็ต้องยอมเสียเวลาบอกเขาไปตามความคิดอ่านของเรา ดีกว่าปล่อยให้ใครเอาชื่อของเราไปใช้โดยเราไม่ได้รู้เห็นด้วย
3. บางทีคนหมู่มาก ก็อาจจะยากที่จะติดต่อเป็นรายบุคคลได้ ในเมื่อเทคโนโลยีก็ก้าวหน้ามามากแล้ว จึงควรใช้เทคโนโลยีให้คุ้มค่า
4. นั่นซีนะ การพัฒนาจึงเป็นไปได้ยาก
4.