ขอบพระคุณที่อาจารย์ช่วยตอบคำถาม ซึ่งดิฉันก็เข้าใจตามนั้นตั้งแต่แรก แต่ปัญหามีอยู่ว่าคุณแม่ให้น้องที่อาศัยอยู่กับคุณแม่เป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด รายรับต่างๆจากค่าเช่าก็ให้เค้าเก็บ ดังนั้นเค้าเป็นคนเดียวที่ได้ประโยชน์ เมื่อดิฉันขอคุยกับเค้าถึงการจัดการเรื่องรายรับ-รายจ่ายตลอดปี 2554 ที่ผ่านมาเค้าก็แสดงอาการไม่พอใจ
ตีลูกเฉยแล้วก็หาทางเลี่ยงไม่อยู่บ้าน ดิฉันดูจากข้อมูลการชำระเงินของผู้เช่า ก็เห็นว่าเป็นเงินไม่น้อยเกือบ 3 ล้านบาท เค้าพูดกับแม่ว่าอะไรๆที่เป็นของพ่อ ตอนนี้ก็เป็นของแม่ทั้งหมด นี่คือวิธีที่เค้าใช้เพื่อตักตวงผลประโยชน์เพราะตอนนี้เค้าเป็นคนเดียวที่อยู่กับแม่ ทำให้แม่ฟังเค้าอยู่คนเดียว
เรื่องราวในบ้านของดิฉันค่อนข้างซับซ้อน เพราะคุณพ่อ-คุณแม่คู่นี้ไม่มีลูกของตัวเอง จึงเอาดิฉันซึ่งเป็นลูกของน้องสาวแท้ๆของแม่มาเลี้ยงเป็นลูก ต่อมาก็ไปเอาน้องคนนี้มาเลีิ้ยงอีกคน แต้ไม่มีใครรู้จักว่าเค้าเป็นลูกใคร รู้แต่ว่าเค้าถูกทิ้งไว้กับที่รับจ้างเลีิ้ยงเด็กตั้งแต่อายุไม่กี่วัน คนที่รู้จักกันมาเล่าให้แม่ฟัง
พอไปดูก็เกิดความสงสารเลยเอาเค้ามาเลี้ยงแต่นั้นมา ชื่อพ่อแม่ในใบเกิดของเราทั้งสองคนก็เป็นลูกตามกฏหมายของพ่อแม่คู่นี้
เค้าไม่มีอาชีพอะไรที่จะทำงานเลี้ยงตัวได้ ก็อาศัยพ่อแม่กินมาตลอด ส่วนดิฉันมีงานทำแต่มาทำงานอยู่ต่างประเทศ กลับบ้านปีละครั้งแต่ก็โทรศัพท์พูดคุยกับแม่อยู่เป็นประจำ
คุณแม่ดิฉันจัดการธุระอะไรด้วยตนเองไม่เป็น โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องติดต่อกับคนภายนอก คุณพ่อเป็นคนดูแลทั้งหมด คุณพ่อก็ให้น้องคนนี้ช่วยจัดการธุระให้บ้างแล้วก็ให้เป็นเงินเดือนเพราะตัวเค้าไม่มีรายได้อะไร
พอคุณพ่อเสียเค้าก็เข้าจัดการคุมทุกอย่างโดยแม่ก็ปล่อยให้เค้าทำด้วยความเต็มใจ ไม่เคยเช็คว่ามีการใช้เงินอย่างไร เมื่อดิฉันพูดชี้แจงตามหลักของกฏหมายก็ไม่ชอบใจด้วยเหตุผลที่ว่า เค้าเป็นภรรยาจะไม่มีสิทธิ์อะไรเลยหรือ ดิฉันก็ได้แต่ชี้แจงว่า แม่มีสิทธิ์แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้แม่เองก็ไม่พอใจดิฉัน
ถ้าดิฉันต้องการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอความเป็นธรรมในการจัดการรายได้ส่วนนี้ ดิฉันควรทำอย่างไรถึงจะไม่กระทบไปถึงคุณแม่ ดิฉันต้องการฟ้องเฉพาะน้องที่จัดการเรื่องเงินอย่างไม่โปร่งใส และดิฉันต้องการได้ในส่วนที่ดิฉันมีสิทธิ์
ขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาอ่านเรื่องที่ค่อนข้างยาว เพราะดิฉันจำเป็นต้องเล่าความเป็นไปเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ของที่บ้านค่ะ