กราบประทานเรียนถามเรื่องมรดกที่ดินค่ะ
ดิฉันมีลูกติดและได้สมรสกับสามีจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายเมื่อปี2539 ต่อมาสามีได้จดทะเบียนรับรองบุตรเป็นลูกบุญธรรม พศ.2549 2550 บิดาและมารดาของสามีเสียชีวิตตามลำดับไม่ได้แบ่งทรัพย์สินมรดกไว้ให้แก่ทายาทและต่อมา ธันวาคม 2551 สามีดิฉันได้เสียชีวิตลง เมื่อเดือนสิงหาคม 2554 ดิฉันได้ว่าที่ดินที่พ่อแม่สามีมีอยู่ที่ จ.ตาก และที่ กรุงเทพฯเขตลาดกระบัง และที่ๆ ลาดกระบังพี่สาวคนโตของสามีขอเป็นผู้จัดการมรดกและเป็นผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาลและได้ทำการโอนที่ดินที่ลาดกระบังให้กับตนเองและน้องอีก 2 คน(สมรส 1 คน ) สามีมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 4 คน(นับรวมสามี) ดิฉันได้โทรศัพท์ถึงพี่สาวคนโตของสามีซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกในเรื่องแบ่งที่ดินมรดก เขาก็เพียงบอกว่าเขาแบ่งกันแล้ว ดิฉันจึงสอบถามในส่วนสิทธิ์ของสามี พี่สาวของสามีบ่ายเบี่ยงจะคุยในภายหลังแต่เมื่อโทรศัพท์ไปหาหลายครั้งไม่รับสาย ดิฉันจึงโทรศัพท์ถึงน้องสาวสามีเขารับโทรศัพท์และบอกเพียงว่าที่ดินได้แบ่งกันแล้วซึ่งดิฉันก็บอกว่าทราบแล้ว แต่อยากจะให้รู้ว่าสามีดิฉันยังคงมีภาระหนี้สินเขาก็ไม่ได้ปิดโทรศัพท์แต่ไม่พูดโต้ตอบดิฉันจึงวางสาย ดิฉันจึงขอเรียนถามว่า
1.เมื่อสามีเสียชีวิตลงดิฉันหรือบุตร(บุตรบุญธรรม)จะเรียกร้องให้ผู้จัดการมรดกคือพี่สาวสามีให้ดำเนินการแบ่งมรดกที่ดินนี้ใหม่ได้หรือไม่อย่างไรและการแบ่งโอนที่ดินไปแล้วนั้นมีอายุความหรือเปล่าวค่ะ
2.หากต้องการเรียกร้องสิทธิจะต้องดำเนินการอย่างไรและเมื่อไหร่ พี่สาวสามีโอนให้พี่น้องเขาเมื่อ เดือนมิถุนายน 2553
3.ได้โปรดอธิบายสิทธิของภรรยาและบุตร(บุญธรรม)ให้ทราบด้วยค่ะว่ามีสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวหรือไม่อย่างไร
หากมีข้อแนะนำขอได้โปรดได้แนะนำให้ทราบด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ ในตอนนี้นึกคำถามได้เพียงเท่านี้ค่ะ
1. เมื่อบิดามารดาของสามีเสียชีวิต ทรัพย์สินของบิดามารดาย่อมตกได้แก่บุตรของบิดามารดาทุกคน คนละเท่า ๆ กัน เมื่อต่อมาสาม่ีคุณเสียชีวิต ทรัพย์สินของเขารวมทั้งสิทธิในการรับมรดกของเขา ก็ย่อมตกได้แก่คุณซึ่งเป็นภรรยา และบุตรบุญธรรม ถ้าผู้จัดการมรดกของบิดามารดาของสามีไม่ได้แบ่งมรดกให้สามีคุณ คุณก็บุตรก็มีสิทธิฟ้องร้องเรียกเอาทรัพย์มรดกส่วนของสามี (ซึ่งจะตกได้แก่คุณและบุตร) ได้
2. ก็ต้องมีหนังสือเรียกให้เขาจัดแบ่งมรดกให้แก่สามีคุณตามสิทธิที่พึงได้ ถ้าเขาไม่แบ่งให้ก็ต้องฟ้องร้องต่อศาล โดยรีบดำเนินการเสียโดยเร็ว ควรรีบปรึกษากับทนายความ
3. ดู ข้อ 1,