เรียนอาจารย์ที่เคารพ
ผมติดตามการใช้กฎหมายมา พบว่า มีการตีความกันบ่อยมาก การตีความหลายครั้งมีปัญหาในกาลต่อมา ผมเลยมาคิดว่า หากกระบวนการในการออกกฎหมาย ได้บันทึก ได้เก็บรวบรวมประเด็นในเจตนาแห่งการออกกฎหมายไว้ให้สมบูรณ์(ชนิดเก็บรายละเอียดอย่างพิสดาร)ในการเขียนอธิบายประเด็นทางกฎหมายไว้เสียแต่แรก และกำหนดให้ประเด็นอื่นที่ไม่ปรากฏตามเจตนารมณ์ทางกฎหมายฉบับนั้น ให้ถือว่ากฎหมายไม่ได้บังคับใช้ในทุกกรณี เพราะการออกกฎหมาย ย่อมนำผลบังคับไปใช้อ้างอิงในการปฏิบัติ ดังนั้น หากกฎหมายไม่ระบุเจตนา ย่อมจะนำมาบังคับใช้ในกรณีนั้นไม่ได้(คือไม่มีข้อห้าม และไม่มีข้อรับรอง) ซึ่งผมเห็นว่า แม้จะยุ่งยากในตอนแรก ในสมัยนี้ การเก็บข้อมูลก็สะดวกสบายมากกว่าเก่าเยอะ น่าจะเป็นไปได้ในทางปฏิบ้ติ อาจารย์เห็นว่าอย่างไรครับ
ขอบพระคุณครับ
เรียน คุณเต็มสิทธิ์
อันกฎหมายนั้นย่อมออกมาเพื่อใช้บังคับกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นแล้ว กำลังจะเกิด และที่คาดว่าอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ถึงจะมีเหตุผลจดบันทึกไว้ ก็เป็นเพียงความต้องการหรือความนึกคิด ความเข้าใจของผู้ร่างเท่านั้น ส่วนสำคัญที่จะนำมาใช้ตีความคือตัวอักษร และสาระทั้งหมดของกฎหมายนั้น ๆ (ซึ่งเรียกกันว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย ซึ่งเป็นคนละอย่างกับเจตนาของผู้ร่าง) ถ้อยคำที่ใช้ในกฎหมายในบางกรณีก็จะจำกัดให้แคบ แต่บางกรณีก็จะให้มีความหมายอย่างกว้าง เพื่อให้ครอบคลุมในสิ่งที่ในขณะที่ร่างยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร มาในรูปไหน เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องคอยแก้ไขกฎหมายอยู่ร่ำไป ตัวอย่างเช่น คำนิยามคำว่า "ทรัพย์" ท่านเขียนไว้ว่า หมายถึงวัตถุที่มีรูปร่าง ซึ่งแปลว่าอะไรที่มีรูปร่างก็เป็นทรัพย์ทั้งนั้น ส่วน"ทรัพย์สิน" ท่านให้ความหมายไว้ว่า หมายความรวมทั้งทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ เขียนเพียงเท่านี้ เมื่อปี ๘๐ กว่าปีมาแล้ว ปัจจุบันก็ยังใช้ได้ ทั้ง ๆ ที่โลกได้พัฒนาจากยุคไอน้ำมาเป็นยุคไอที แล้วก็ตาม
วันหลังจะถามอะไรก็รวม ๆ ถามมาเสียทีเดียวกัน อย่าแยกกัน เพราะทำให้ต้องแยกตอบและเสียเวลาโดยใช่เหตุ