แนวทางป้องกันแก้ไขการทุจริตในประเทศไทยจะเป็นไปได้หรือไม่
เรียน ท่านอาจารย์มีชัยที่เคารพ
เนื่องด้วยหลังวันที่ 22 พ.ค.57 ประเทศไทยได้จัดตั้ง สนช.,สปช. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ 2557 และ องค์การอื่น ๆ ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการปฏิรูปประเทศไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าประชาชนโดยส่วนรวมมีความสุขอย่างแท้จริง
ในการนี้กระผมได้สรุปแนวคิดในเรื่องการป้องกันแก้ไขปัญหาการทุจริตของนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ และได้จัดส่งให้สมาชิกสนช. สมาชิกสปช.บางท่านที่เชื่อว่าให้ความสำคัญกับการปฏิรูปประเทศไทยจริง รวมทั้งได้จัดส่งแนวคิดไปยัง web-site ของสปช. ที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้แสดงความคิดเห็นด้วย ทั้งนี้ด้วยเห็นว่าประเทศของเราเจริญช้า ประชาชนส่วนใหญ่ยากลำบาก ต้นเหตุสำคัญมาจากการทุจริต โกงกินของนักการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่พ่ายแก้ต่อความโลภ กระผมจึงต้องการเป็นประเทศไทยได้รับการปฏิรูปอย่างแท้จริงโดยเฉพาะการขจัดการทุจริตทั้งหลาย
จนกระทั่งบัดนี้ กระผมไม่แน่ใจว่าแนวคิดดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาหรือไม่อย่างไร เนื่องด้วยกระผมมิใช่ผู้ชำนาญด้านกฎหมาย และมีความเข้าใจในระบบราชการและการเมืองน้อย แนวคิดคงจะต้องได้รับการขัดเกลาจากท่านผู้รู้จริง การที่ท่านอาจารย์ได้เสียสละรับหน้าที่ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญนั้น กระผมจึงใคร่ขอจัดส่งแนวคิดข้างต้นมาเพื่อประกอบการพิจารณาของท่านอาจารย์ ดังต่อไปนี้ครับ
1.ในกฎหมายทุกประเภทนับตั้งแต่รัฐธรรมนูญ (หากเป็นไปได้) พรบ. พรก. กฏกระทรวง ฯลฯ ที่เกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองของนักการเมือง, ข้าราชการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ นอกจากจะกำหนดว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือห้ามไม่ให้ปฏิบัติอย่างไรแล้ว ควรจะต้องมีบทกำหนดโทษไว้อย่างชัดเจนว่าถ้าให้ปฏิบัติแล้วไม่ปฏิบัติจะถูกลงโทษอย่างไร หรือ ห้าไม่หให้ปฏิบัติแต่ผ่าฝืนปฏิบ้ติจะมีโทษอย่างไรโดยใคร ดังตัวอย่างของพรฐป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศซ2542, พรบ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ.2545
2.ความผิดเกี่ยวกับการทุจริตทุกประเภท จะต้องไม่มีอายุความ
3.ความผิดเกี่ยวกับการทุจริทุกประเภท หากได้รับการตัดสินจากศาลหรือองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่แล้วว่ากระทำความผิดจริง จะต้องมีการอายัด หรือยึดทรัพย์จากผู้กระทำผิดมาคืนให้กับประเทศโดยเร็ว
4.หลักการของกฏหมายอาญาที่จะไม่พิจารณาคดีลับหลังจำเลยนั้น จะต้องไม่ใช้บังคับกับกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นนักการเมือง, ข้าราชการ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นจำเลย และจงใจหลบหนีกระบวนการพิจารณาคดีของศาล เนื่องด้วยเป็นกรณีที่จำเลยจงใจหลบหนีจึงไม่ควรจะได้รับความคุ้มครองตามหลักกฏหมายนี้
5.ศาลรัฐธรรมนูญ, ศาลปกครอง, หรือศาลฏีกา ควรมีขอบเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีในเชิงป้องกันความเสียหาย ที่อาจจะเกิดขึ้นกับประเทศ (Proactive action) โดยไม่ต้องรอให้เกิดความเสียหายขึ้นจริง เช่นกรณีที่มีผู้ฟ้องคดีว่าผู้มีอำนาจในประเทศจะดำเนินนโยบายหรือมีการกระทำที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย, มีการทุจริต ฯลฯ ศาลมีอำนาจที่จะพิจารณาและออกคำสั่งเพื่อป้องกันความเสียหายที่เหมาะสมได้
6.ควรกำหนดมาตรการ หรือหน่วยงาน หรือคณะบุคคลที่เชื่อถือได้ ให้มีอำนาจหน้าที่ในการติดตามตรวจสอบ การใช้ดุลยพินิจขององค์กรอิสระต่าง ๆ เช่น ปปช.ปปท. กกค. สตง. อัยการ ฯลฯ ว่าได้ใช้ดุลยพินิจไปโดยถูกต้อง สุจริต ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ซึ่งหากพบว่าใช้ดุลยพินิจไม่ถูกต้อง หรือส่อไปในทางทุจริต หรือช่วยเหลือโดยมิชอบแล้ว สามารถยื่นเรื่องต่อหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ หรือฟ้องร้องต่อศาลให้เพิกถอนดุลยพินิจที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น หรือพิจารณาพิพากษาลงโทษได้
7.กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่า รัฐบาลจะต้องไม่ทำโครงการประชานิยม หรือโครงการอื่นใดที่ส่อว่าจะทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหาย ทั้งนี้หากดำเนินการไปถ้าเกิดความเสียหายต่อประเทศผู้ที่สั่งการ และผู้ดำเนินการทั้งหมดจะต้องรับผิดชอบทั้งในทางแพ่งและทางอาญา
8.ทุกขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่เจ้าพนักงานตำรวจ, อัยการ, องค์กรอิสะร, ศาล ฯลฯ จะต้องมีการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการที่เหมาะสมไว้ เช่นที่ในด้านธุรกิจเรียกว่า SLA (Service Level Agreement) โดยการใช้ระยะเวลาเกิน SLA จะต้องมีเหตุจำเป็นที่มีเหตุผล หรือเหตุฉุกเฉินอย่างยิ่งเท่านั้น
9.ในคดีทุจริตนั้นประชาชนทุกคนถือว่าเป็นผู้เสียหาย ที่สามารถฟ้องคดีได้ โดยมีมาตรการป้องการการกลั่นแกล้ง หรือการฟ้องร้องโดยเจตนาไม่สุจริตที่ชัดเจน
จึงเรียนเสนอมาเพื่อโปรดพิจารณา ทั้งนี้หากท่านอาจารย์จะกรุณาตอบให้ทราบว่าความเห็นใดสามารถดำเนินการได้ หรือไม่สามารถดำเนินการได้ด้วยเหตุใดก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
ขอบพระคุณครับ
|