ความคิดเสรีของมีชัย
เรียนรู้กฏหมายใกล้ตัว
เรื่องสั้น
จดหมายถึงนาย
 
  • นายช่าง อบต กำหนดให้ใช้วิศวกรระดับเกินกว่าที่สภาวิศวกรกำหนด
  •  
  • การยกเลิกกำนันผู้ใหญ่บ้าน
  •  
  • ค่าส่วนกลาง
  •  
  • ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างเป็นเจ้าของอาคารแต่ผู้เดียวจริงหรือไม่
  •  
  • ขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับคำขออนุญาตฎีกาอีกครั้งได้หรือไม่
  • อ่านทั้งหมด
    มุมของมีชัย ถาม-ตอบ กับมีชัย
     
         ถาม-ตอบ กับมีชัย จะเป็นกุญแจ ไขข้อข้องใจของทุกๆท่าน ในเรื่องกฎหมายและการเมือง โดยท่านอาจารย์มีชัย ฤชุพันธุ์ จะขจัดความสงสัยที่เกิดขึ้นของคุณให้หมดไป เมื่อคุณส่งคำถามเข้ามาที่นี่ ส่งคำถาม
    คำสำคัญ
    ค้นหาใน
     
    เลือกประเภทคำถาม-ตอบ > การเมือง | กฏหมาย | เศรษฐกิจ | ทั่วไป | มรดก | แรงงาน | ท้องถิ่น | มหาวิทยาลัย | ราชการ | ครอบครัว | ล้มละลาย | ที่ดิน | ค้ำประกัน | 22128 ค้ำ | archanwell.org | ล้างมลทิน | 24687 | hhhhhhhhhhh | คำถามทั้งหมด ... อ่านสักนิดก่อนตั้งคำถาม

    ปิดหน้าต่างนี้
    คำถามที่ หัวข้อคำถามโดยวันที่
    020063 วิธีการใหม่ในการรับสมัคร สส.นายวิเชียร ธรรมอารี30 ธันวาคม 2549

    คำถาม
    วิธีการใหม่ในการรับสมัคร สส.

    เรียน ท่านมีชัย ที่นับถือ

    เราเบื่อมาก ๆ กับวิธีการเลือกตั้ง สส. ในปัจจุบัน ที่ระบบจะเอื้อหนุนให้ผู้สมัครแต่ละคนต้องทุ่มเงินเป็นสิบ ๆ ล้าน เพื่อที่จะทำการถอนทุนในทุกรูปแบบเมื่อได้รับเลือกตั้ง เพราะไม่มีคนที่มีสติดีคนไหนทุ่มเงินจนหมดตัวเพื่อจะได้เงินเดือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคนดีมีฝีมือ มีศรัทธาจริงที่จะช่วยชาติ แต่ขาดเงิน กลับได้แต่มองดูเขาโกงกินกัน โดยช่วยชาติไม่ได้แม้แต่น้อย เนื้อเรื่องค่อนข้างยาว หากคิดว่าแนวทางดี แต่มีข้อบกพร่อง โปรดช่วยแก้ไขด้วยครับ

                   วิธีการใหม่ในการรับสมัครเลือกตั้งฯ

     

    กรุณาเสียเวลาช่วยพิจารณาข้อเสนอข้างล่างนี้เพื่อจะได้มีรัฐบาลในฝันเสียที

     

    (โปรดอดทนอ่านให้จบ และหากคิดว่าอาจมีประโยชน์ต่อชาติ โปรดช่วยขัดเกลาและนำเผยแพร่ต่อด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง)

     

    ปัญหาซ้ำซากไม่รู้จบกับวิธีการรับสมัคร สส. ในปัจจุบันที่มีระบบคล้ายกับจะสนับสนุนให้เกิดการถอนทุน ฉ้อฉล คอรัปชั่น  เพราะการที่ผู้ลงสมัครต้องใช้เงินใช้ทองกันคนละเกือบสิบล้านเป็นอย่างน้อย เพื่อละลายให้หมดกับการหาเสียงนั้น  คงไม่มีคนสติดีคนไหน ที่จะรักชาติมากจนยอมสูญเสียเงินเกือบสิบล้านบาท เพื่อแลกกับเงินเดือนที่อยู่ในตำแหน่งสี่ปีที่นับรวมกันแล้วก็ยังได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเงินที่ได้ลงทุนไป ฉะนั้น หากยังคงระบบการเลือกตั้งแบบปัจจุบันอยู่  ไม่ว่าจะเลือกตั้งกี่ครั้ง ไม่ว่าพรรคไหนจะได้รับเลือกเป็นรัฐบาล การขายตัวของ สส.ให้พรรคที่ต้องการเสียงสนับสนุน หรือตั้งบริษัทเองโดยใช้ชื่อญาติพี่น้องเพื่อฮั้วประมูลงานของราชการในราคาที่สูงเกินความเป็นจริงมาก ทั้งเรียกรับเปอร์เซ็นต์จากผู้ชนะการประมูลงานของราชการที่ไม่ใช่พวกพ้องของตน มิฉะนั้นจะอ้างเหตุล้มการประมูล และ ฯลฯ วงจรอุบาทว์นี้ ก็จะยังคงเป็นไปอยู่อย่างไม่สิ้นสุด

     

    เราขอเสนอความคิดในการรับสมัคร สส. เพื่อเปิดโอกาสให้มีคนดีลงสมัคร โดยผู้สมัครทุกคนไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินส่วนตัวจำนวนมาก

    เพื่อการหาเสียง  (เพราะฉะนั้น ก็ไม่น่าจะมีการถอนทุน) เพื่อที่เราจะได้มีคนที่มีความรู้ความสามารถมาอาสาทำงานการเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ และตั้งใจเพื่อชาติ  และเพื่อเป็นการปิดทาง สส. พวกไม้ประดับ ที่ได้เป็น สส. เพราะการสนับสนุนของญาติพี่น้องและพรรคพวกเท่านั้น โดยที่ตนเองไม่มีความรู้ความสามารถใด ๆ เลย และเข้าประชุมโดยไม่เคยแสดงความคิดเห็นใด ๆ คอยแต่ยกมือตามมติพรรคเท่านั้น

     

                     ก่อนอื่นต้องแก้กฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งว่า นอกเหนือจากการต้องแจ้งทรัพย์สินทั้งก่อนและหลังการเข้ารับตำแหน่ง ผู้ที่รับการคัดเลือกเข้ารับใช้ชาติในด้านการเมือง หากทำการฉ้อฉลทุจริตในรูปแบบใดก็ตาม หากถูกพิจารณาถึงที่สุดแล้ว ศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง จะต้องถูกยึดทรัพย์ ไม่ว่าจะของตนเองและลูกเมีย และ ติดคุกในคดีอาญาทันที ไม่มีการรอลงอาญา จะติดคุกมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ฉ้อฉลไป  ส่วนผู้ที่ช่วยกลบเกลื่อนปิดบังความจริง หรือเป็นพยานเท็จ ต้องโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป  

     

    ขั้นแรก ให้ทางการตั้งหน่วยงานใหญ่ขึ้นหน่วยหนึ่ง จะเป็นกระดับกระทรวงหรือกรมก็ตาม แต่หน่วยงานนี้ต้องมีงบประมาณมากเพียงพอ เพราะต้องมีเครือข่ายโยงใยไปทั่วประเทศ สมมุติว่าเป็นระดับกระทรวง ควรตั้งชื่อว่า กระทรวงการเลือกตั้งแห่งชาติ รับผิดชอบการเลือกตั้งทุกระดับ ไม่ว่าจะ สส. สก. และ สข.

     

    โปรดอย่าถามว่า แล้วเราจะเอาเงินจำนวนมากที่ไหนมาจัดตั้งกระทรวงการเลือกตั้งแห่งชาติ  เราถามว่า หากเราสามารถประหยัดเงินงบประมาณที่มาจากหยาดเหงื่อแรงงานของประชาชนผู้เสียภาษีอากร ที่ถูกฉ้อฉลเอาไปโดยนักการเมืองในทุก ๆ รูปแบบ ฮั้วประมูลเอย ล๊อคสเปกเอย เรียกเก็บเปอร์เซ็นต์จากผู้ประมูลที่ไม่ใช่พวกพ้อง และ ฯลฯ และอีกมากมายจนจาระไนไม่ถูก ให้ดูจากหน้าหนังสือพิมพ์เอาเองก็แล้วกัน ซึ่งมีผลให้ประเทศชาติได้ถาวรวัตถุที่ไม่มีคุณภาพและอาจจะมีคุณภาพบกพร่องด้วยในราคาสูงอย่างผิดปรกติ และยังต้องจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มเติมอีกมากมายในการซ่อมแซมถาวรวัตถุที่ผู้รับเหมาสร้างแบบผิดเปกคุณภาพต่ำเป็นประจำ และในไม่ช้า ถาวรวัตถุนั้นก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ถาวรวัตถุที่ว่านี้ก็เช่น การประมูลสร้างถนนหนทาง สะพานข้ามแม่น้ำ รถไฟฟ้า อาคารที่ทำการรัฐบาล การจัดซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ โดยเฉพาะกรณี CTX นั่นชัดที่สุด  หากเราเอาเงินที่ถูกฉ้อฉลทั้งหมดนี้มากองรวมกัน ถามว่า มันจะเป็นเงินกี่หมื่นกี่พันล้านบาทไม่ทราบ ฉะนั้น งบประมาณการสร้างกระทรวงการเลือกตั้งแห่งชาตินี้ ขอตอบว่า เป็นเรื่อง จิ๊บจ๊อย  หากเราจะสามารถป้องกันการคอรัปชั่นดังกล่าวมาแล้วนี้ได้ และทำให้สามารถตั้งงบประมาณให้แต่ละกระทรวงลดน้อยลงได้เป็นอย่างมาก เพื่อจะได้เกลี่ยเอางบประมาณที่เหลือนี้ ไปเป็นงบประมาณของกระทรวงการเลือกตั้งแห่งชาติได้อย่างเหลือเฟือ

     

                    เมื่อถึงเวลาต้องมีการเลือกตั้ง สมมุติว่าจะต้องเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ก็ให้กระทรวงนี้ ทำการประกาศให้ประชาชนทุก ๆ จังหวัดรับรู้ด้วยทั่วกัน ว่าจะมีการเลือกตั้งแล้ว ขอให้ผู้ที่คิดว่า ตนเองมีความรู้ความสามารถ และ มีประสบการณ์สูง  ต้องการทำงานเพื่อชาติทางด้านการเมือง ให้ลงสมัครได้โดยอิสสระ ไม่ต้องสังกัดพรรค์ใด ๆ ทั้งสิ้น (พรรคการเมืองทุกพรรคจะต้องถูกยุบ จะไม่ต้องมีคำว่า “มติพรรค”อีกต่อไป และจะไม่มีพรรคการเมืองอีกตลอดไป) ผู้สมัครทุกคน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการหาเสียงแม้แต่บาทเดียว  สิ่งที่ผู้มาสมัครต้องนำมาแสดงเมื่อมาสมัคร คือรูปถ่าย ทะเบียนบ้าน วุฒิการศึกษา หลักฐานของประสบการณ์การทำงาน  มาพบเจ้าหน้าที่ที่กระทรวงฯ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ เช่น เกษตร คมนาคม ยุติธรรมและ ฯลฯ ไว้ต้อนรับผู้สมัครที่สนใจจะทำงานในกระทรวงไหน (และอาจจะมีให้เลือกกระทรวงสำรองด้วยหากกระทรวงที่เลือก ผู้สมัครทำคะแนนได้ไม่ถึง)  เจ้าหน้าที่ผู้รับสมัครก็เพียงสอบถามด้วยวาจาว่า สนใจจะสมัครเขตไหนของจังหวัดที่ตนเองมีภูมิลำเนาอยู่ หากได้เป็น สส. มีความต้องการจะทำงานกระทรวงไหน  สมมุติเขาตอบชำนาญเรื่องกระทรวงคมนาคม  ก็ให้เจ้าหน้าที่ที่รับสมัครฯ ซึ่งชำนาญเรื่องการคมนาคม ลองตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เขามีความรู้และประสบการณ์ ให้ลองตอบปากเปล่าดูคร่าว ๆ  ถ้าน่าจะใช้ได้ ก็ให้คัดใบสมัครของเขาไว้ในกลุ่มผู้สอบผ่านการสัมภาษณ์คร่าว ๆ ให้ทำเช่นนี้เหมือนกันหมดในทุก ๆ จังหวัด โดยแยกออกเป็นกระทรวง ๆ  ส่วนพวกที่ตอบไม่รู้เรื่อง ก็ให้คัดทิ้งไป สอบตกตั้งแต่ยกแรก (ในทุกขั้นตอนการคัดเลือก หากผู้สมัครที่สอบตกคิดว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม ให้ตั้งหน่วยงานขึ้นพิเศษขึ้นตรงต่อศาลใดศาลหนึ่งเป็นผู้พิจารณาคำร้อง และหากมีเค้ามูลความจริง เจ้าหน้าที่ผู้รับสมัครจะต้องถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนทันที)

     

                   ต่อมาประกาศวันสอบข้อเขียน ผู้สมัครที่สนใจทำงานในกระทรวงเดียวกัน ให้สอบพร้อมกันทุกจังหวัด ข้อสอบจะออกโดยกลุ่มคณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่อาวุโสในงานกระทรวงนั้น แล้วเก็บเป็นความลับ ให้จัดส่งไปแต่ละจังหวัดโดยรัดกุมก่อนถึงวันสอบจริงเพียงหนึ่งวันเพื่อป้องกันข้อสอบรั่ว ให้ผู้สมัครแยกสอบข้อเขียนตามแต่ละจังหวัด สมมุติถ้าเป็นกระทรวงเกษตร จะจัดสอบในวันเวลาเดียวกันทั่วประเทศ ด้วยข้อสอบเกี่ยวกับการเกษตร วันถัดไปอาจจะเป็นกระทรวงคมนาคม ก็สอบวันเวลาเดียวกันทั่วประเทศเช่นกัน ด้วยข้อสอบเกี่ยวกับการคมนาคม โดยข้อสอบจะมีทั้งแบบอัตนัยและปรนัยแบบนักศึกษาจะสอบ entrance นั่นแหละ 

     

                    เมื่อเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ คณาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ ของแต่ละจังหวัดเป็นผู้ตรวจข้อสอบ โดยใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยตรวจแบบที่ใช้กับนักศีกษาที่สอบ o-net และ a-net (คิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ระบบนี้คงใช้ได้ 100 % แล้ว)  การตรวจสอบต้องโปร่งใส พร้อมที่จะให้ตรวจสอบได้ทุกเมื่อ หากมีผู้สงสัย

     

                    ถ้าจำนวน สส. ตามกฎหมายต้องการคือ 500 คน ก็ให้คัดผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดที่สมัครในแต่ละกระทรวง  ในจำนวนที่เท่า ๆ กัน รวมกันทั้งสิ้น 2000 คน คือ 4 เท่าตัว ส่วนผู้ที่ได้คะแนนต่ำ ถือว่าตกรอบ สอบไม่ผ่าน(การคัดตัดคะแนน ต้องหาวิธีกระทำโดยเปิดเผยต่อสาธารณะชนแบบการนับคะแนนผู้สมัคร สส. ในระบบปัจจุบันนั่นเอง) เมื่อได้ตัวผู้ผ่านการคัดเลือก 2000 คน นี้แล้วให้กระทรวงการเลือกตั้ง พิมพ์โบร์ชัวร์และโปสเตอร์ของผู้สมัครแต่ละคน ซึ่งสอดสีสวยงามในจำนวนที่มากเพียงพอโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายจากผู้สมัครแต่อย่างใด และมอบให้กับผู้ที่สมัครสอบผ่านถึงขั้นนี้แล้ว นำไปแจกจ่ายแนะนำตนเองให้ประชาชนในเขตที่ตนเองได้สมัครเอาไว้ โดยมีข้อแม้แบบเดียวกับการสมัครสอบ สว.ในปัจจุบันว่า ห้ามปราศรัย และ ฯลฯ  เพื่อที่ผู้สมัครจะไม่ต้องทุ่มเงินแข่งกันในการจัดปราศรัย (เพราะผู้มีเงินน้อยจะจัดไม่ได้ ก็เสียเปรียบ)

     

                    เมื่อประชาชนทั่วประเทศลงคะแนนเลือกคนที่ตนคิดว่าดีได้ครบ 500 คนแล้ว ให้ทางกระทรวงฯ แยกคนที่สอบได้ทั้งหมดนี้ออกเป็นรายกระทรวงที่สนใจตามที่ได้สมัครไว้แต่ต้นอีกครั้ง  แต่ละกระทรวงก็จะทำการสอบปากเปล่า เพื่อดูบุคคลิกและปฏิภาณไหวพริบอีกครั้งด้วยคณะกรรมการชุดใหญ่ในแต่ละกระทรวง  แต่การสอบปากเปล่านี้ ให้กระทำโดยมีการถ่ายทอดโทรทัศน์อย่างเปิดเผย จะได้มั่นใจยิ่งขึ้นว่า จะได้คนที่มีไหวพริบปฏิภาน และ ประสบการณ์สูง โดยไม่มีการแอบช่วยเหลือกัน จะได้สามารถแก้ใขปัญหาของบ้านเมืองให้ลุล่วงทัดเทียมนานาประเทศได้  ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุด จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงนั้น ๆ ผู้ที่ได้คะแนนรองลงไป ให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา เมื่อได้ตัวรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงแล้ว ก็ให้รัฐมนตรีแต่ละกระทรวง คัดเลือกตัวนายกรัฐมนตรีกันเองโดยให้เลือกอย่างเปิดเผยผ่านการถ่ายทอดออกโทรทัศน์ อาจจะให้มีการส่งตัวผู้ที่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีสัก 4 คน ให้คนทั้ง 4 ทำการ กล่าวแสดงความรู้ความสามารถของตนเองแข่งกันออกทางโทรทัศน์ ให้ประชาชน ได้รู้ ได้เห็นถึงความสามารถของตนเองแข่งกัน (debate) เพื่อให้ได้ตัวนายกรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถ และ บุคลิกดี เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

     

    ส่วนผู้ที่พลาดการคัดเลือกเป็นรัฐมนตรี เพราะคะแนนน้อยกว่าผู้ได้คะแนนสูงสุดนั้น ให้เป็นเป็นวุฒิสภา ที่ต้องให้ผู้ได้คะแนนรองลงไป เป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ก็เพื่อให้คนที่มีสติปัญญาและ ประสบการณ์ ค่อนข้างสูงมาช่วยกลั่นกรองกฎหมายที่ทางสภาผู้แทนฯ ส่งมา และในบรรดาสมาชิกวุฒิสภา จะต้องเลือกประธานสภาวุฒิสภากันเองแบบเดียวกับรัฐมนตรีแต่ละกระทรวงเลือกตัวนายกฯ ดังกล่าวข้างต้นด้วย) ส่วนผู้ได้คะแนนลดหลั่นกันลงไป จะเป็นผู้ช่วย  เป็นเลขา และ ฯลฯ  ส่วนผู้ที่ได้คะแนนต่ำลงไป ให้เป็น สส. ธรรมดา กำหนดอายุของรัฐบาลประมาณ 3 ปี เท่านั้น และให้ผู้ที่เคยสมัคร สส. ด้วยระบบนี้ แล้วสอบผ่านได้เป็น สส.แล้ว  สามารถสมัครเข้ารับการเลือกตั้งครั้งต่อไปได้อย่างมากอีกเพียงสมัยเดียวเท่านั้น

     

                    ไม่ต้องกลัวว่า ผู้ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาจะน้อยใจว่า จะไม่มีโอกาสคอรัปชั่น มีอิทธิพล และ มีเงินมีทองเหมือนพวกรัฐมนตรีทั้งหลายดังเก่าก่อนอีก เพราะถ้าขึ้นทำชั่วอีก มาตรการยึดทรัพย์ มันจะค้ำคออยู่  และเมื่อได้ฟอร์มรัฐบาลเสร็จสรรพ ทุกคนรวมทั้งวุฒิสภา ต้องกล่าวถวายน้ำพิพัฒน์สัตยาบัน ต่อหน้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโบสถ์วัดพระแก้ว ท่ามกลางสื่อมวลชนที่ถ่ายทอดโทรทัศน์ไปทั่วประเทศ คำกล่าวถวายฯ นี้ จะต้องเรียบเรียงคำพูดขึ้นใหม่ให้มีลักษณะคล้ายโองการแช่งน้ำในสมัยโบราณ แต่เพียงแต่ดัดแปลงคำพูดให้ดูดีขึ้นเท่านั้น โดยทุกคนจะถือแก้วใส่น้ำพิพัฒน์ฯ กล่าวผ่านไมโครโฟนที่จ่อปากทุกคน โดยให้กล่าวคำถวายฯ นี้ทีละคนว่า

     

    “ข้าพเจ้า นาย... ขอสัญญาว่า เมื่อข้าพเจ้าเข้ารับตำแหน่ง ...แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่เบียดบัง ทุจริต ทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะขออุทิศตนทำงานโดยเข้มแข็งอดทน ใช้ความรู้ความสามารถทั้งหมดที่ข้าพเจ้ามีเพื่อประเทศชาติ ไม่เล่นพวกเล่นพ้อง ไม่เรียกรับผลประโยชน์หรือกระทำการฉ้อฉลใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งปวง ทั้งจะไม่ให้คนในครอบครัว ญาติพี่น้อง  และคนรู้จัก กระทำการดังที่ว่านี้ด้วย และ ฯลฯ  หากข้าพเจ้าได้กระทำดังที่กล่าวข้างต้นนี้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัวจงมีแต่ความสุข ความเจริญ ก้าวหน้าไปตลอดชีวิต แต่หากข้าพเจ้าไม่กระทำดังกล่าวข้างต้นแม้เพียงข้อใดก็ตาม ขอให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ได้รับผลในด้านตรงกันข้ามในทันตาเห็นด้วยเถิด”

     

    ลองคิดว่า หากเงื่อนไขการเป็น สส. รัฐมนตรี และ นายกฯ  มีทั้งการแสดงทรัพย์สินทั้งก่อนเข้ารับตำแหน่งและหลังจากออกจากตำแหน่งโดยเปิดเผยแล้ว ยังต้องดื่มน้ำพิพัฒสัตย์บัน และสุดท้าย ถ้าฉ้อฉลจนถูกจับได้ อาจถูกยึดทรัพย์ทั้งตระกูล ต้องติดคุก ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างนี้แล้ว  จะมีปัญหาการการโกงกินแบบบูรณาการ   คอรัปชั่น ผลประโยชน์ทับซ้อน เรียกรับเปอร์เซ็นต์งานประมูลต่าง ๆ ยังจะมีคนกล้าทำอีกหรือไม่ เราน่าจะได้คนดีที่เสียสละตัวเองทำประโยชน์แก่ประเทศชาติไหม ส่วนพวกที่ชอบใช้ข้อมูลเท็จใส่ร้ายคนอื่นในขณะเปิดอภิปรายในสภา  หรือแจ้งความเท็จเพื่อใช้กฏหมายเล่นงานคู่ต่อสู้ทางการเมืองอย่างไม่มีความจริง หากพิสูจน์ได้ว่า เป็นกระทำโดยความจงใจ ควรมีกฏหมายกำหนดโทษหนัก ๆ ทั้งทางแพ่งและทางอาญาไว้ด้วย

     

    ขอย้ำว่า นี่เป็นการเลือกนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศไทย อาจจะมีหลายส่วนที่ลอกเลียนการตัดสินคัดเลือกจากระบบของสหรัฐอเมริกาบ้าง แต่ก็เพื่อเป็นการคัดเลือกแบบโปร่งใสเท่านั้น มิใช่การเลือกประธานาธิบดี

     

    แต่หากข้อความไหน มันตึงเกินไป ก็ลองพิจารณาตอนทอนลงไป เพราะหากเข้มงวดเกินไป อาจจะไม่มีคนสมัครเลยก็ได้ แต่โดยวิธีการดังที่ได้กล่าวมานี้ เราคิดว่า น่าจะป้องการพวกเหลือบกินเมืองทั้งหลายได้มากพอสมควรนะ เราต้องการให้คนกล้าลงสมัครฯ โดยเฉพาะคนดีที่มีความตั้งใจจริง มีความรู้ความสามารถแต่ขาดเงิน เพียงแต่รัฐฯ  มีความพร้อมในการจัดเลือกตั้งแบบนี้ ซึ่งเรียกว่า ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ หรือไม่ พวกนักการเมืองปัจจุบันจะยอมเสียสละให้ใช้ระบบนี้ได้หรือไม่เท่านั้น เลิกตามก้นฝรั่งเถิด และที่สุดแล้ว ฝรั่งก็อาจจะหันหาเดินตามก้นคนไทยบ้างก็ได้ ระบบการเลือกตั้งเดิม มันเอื้อให้คนไม่ดีแต่มีอิทธิพล และ การเงิน ยึดครองประเทศชาติเท่านั้น ขอย้ำว่า ถ้ายังคงเลือกตั้งฯ กันต่อไปในระบบปัจจุบัน ทุกอย่างก็จะเหมือนเดิมต่อไป คงจะไม่มีคนสติดีคนไหนจะยอมละลายเงินส่วนตัวเป็นเงินถึงสิบ ๆ ล้านบาทเล่น  เพื่อการลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อเงินเดือนเล็กน้อยโดยไม่คิดถอนทุนหรอก ลองมองย้อนไปในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าสมัยไหน ยุคไหนก็ตาม มีการถอนทุนกันทั้งนั้น โปรดลืมตาขึ้น เพื่อจะได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงบ้างเถิด

     

    ขอบคุณที่ให้ความสนใจ

     

     

                                                                                                                    คนเบื่อการเลือกตั้งในระบบปัจจุบัน

     

     

    คำตอบ

    เรียน คนเบื่อการเลือกตั้งในระบบปัจจุบัน

           ครับ ใครสนใจก็ลองอ่านดู


    มีชัย ฤชุพันธุ์
    30 ธันวาคม 2549