เรียน อาจารย์มีชัย
ได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่กำลังเป็นที่ถกเถียงกันใน Forum ตาม website ต่างๆ ที่อเมริกา รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก ยิ่งอ่านยิ่งวิเคราะห์ก็เกิดอาการอยากประท้วงอยากโต้ตอบผู้เขียนและผู้เกี่ยวข้อง เป็นผลให้คนใกล้ชิดคือสามีที่เป็นชาวต่างชาติได้รับผลกระทบก่อนเป็นคนแรก ยังโชคดีที่เขามีความเห็นว่าผู้แต่งคือ นาย Paul Handley ไม่ควรทำหนังสือฉบับนี้ เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและเป็นการยากที่คนต่างชาติถึงแม้จะอ้างว่าอยู่เมืองไทยมา 10 กว่าปี จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของจิตใจคนไทยที่เป็นคนไทยที่แท้จริง
ความไม่พอใจมีอาการเพิ่มมากขึ้นเมื่อเห็นผู้ที่เรียกตัวเองว่า เป็นคนไทยที่รักความเป็นประชาธิปไตยบ้าง เป็นนักวิชาการบ้าง เห็นด้วยกับหนังสือดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า ต้องการเห็นประเทศไทยเปิดกว้างรับฟังคำวิจารณ์ของคนภายนอก เพื่อจะได้นำคำติเตียนดังกล่าวมาปรับปรุงระบอบการปกครองประเทศให้สอดคล้องกับนานาชาติและทันยุคทันสมัย เผอิญดิฉันเป็นคยไทยตามนิยามของ "คุณนพ" (ผู้ตั้งคำถามที่ 017537 "ความเป็นคนไทย????") "คนไทยต้องรักชาติ ทำนุบำรุงพระศาสนา และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์.......ถ้าใครก็ตามไม่มั่นคงในความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ลังเลสงสัยในสถาบันหลักทั้งสามของประเทศไทย ผมว่าคนคนนั้นไม่น่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนไทย"
ไม่ทราบอาจารย์ได้มีโอกาสเห็นหรืออ่านหนังสือหรือบทย่อหรือยังคะ ดิฉันเองมีความเห็นว่าสาระของหนังสือฉบับนี้มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการแต่อย่างใด ไม่ว่าในด้านการศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย การเมืองการปกครอง ระบบพระมหากษัตรย์ แต่อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่คนต่างชาติที่ไม่เคยรู้หรือศึกษาหรือเข้าใจประเทศไทยอย่างแท้จริง ที่ผ่านมาเห็นคนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้ระยะหนึ่ง แล้วเกิดอาการหลงตัวเองว่ารู้จักประเทศไทยและเข้าใจสังคมและจิตใจคนไทยเป็นอย่างดี เขียนหนังสือวิจารณ์ความบกพร่องไม่ว่าด้านสังคม ด้านการเมือง ด้านการปกครอง โดยหวังชื่อเสียงบ้าง หวังเงินทองบ้าง ปราศจากการรับผิดชอบต่อผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าต่อชื่อเสียงของประเทศไทย โดยเฉพาะต่อระบบพระมหากษัตรย์ ที่ต่อให้คนต่างชาติไม่ว่าใครก็ตาม ยากจะเข้าใจถึงความผูกพัน ความจงรักภักดี ที่คนไทยมีมาแต่บรรพบุรุษ คนต่างชาตืไม่มีวันเข้าใจเมื่อเห็นภาพคนไทยแสดงอาการเทิดทูนหรือหลั่งน้ำตาเมื่อมีโอกาสได้เห็น "ในหลวง" โดยเข้าใจว่าเป็นความรู้สึกบนพื้นฐานที่ปราศจากความเป็นจริง (นาย Paul Handley ใช้คำว่า FANTACY อธิบายความรู้สึกดังกล่าวของคนไทย) ดิฉันวิเคราะห์เอาว่า นาย Paul Handley คงเคยเห็นและชินต่อภาพคนต่างชาติหรือคนชาติเดียวกับเขา ตะโกนแสดงความชื่นชอบ ตีอกชกตัว ร้องไห้ เมื่อมีโอกาสได้พบดารา นักร้อง นักกีฬา หรืออื่นๆ ที่เค้าชื่นชอบ บ้างก็ฆ่าตัวตายตามหากคนที่เค้าชื่นชอบดังกล่าวตาย เลยเหมาเอาว่าเป็นเรื่องเดียวกัน อันนี้เป็นจุดที่ลบล้างคำอ้างของ นาย Paul Handley ว่าได้อาศัยอยู่ประเทศไทยถึงสิบกว่าปีและได้ค้นคว้าข้อมูลตามหลักวิชาการจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้โดยสิ้นเชิง
ด้วยความนับถือค่ะ
เรียน คุณขวัญใจ
คนอเมริกัน ก็เหมือนกับคนทั่วโลก คือมีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน นอกจากความดีความเลวแล้ว คนอเมริกันยังมีความคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า "อเมริกัน" และมักจะนึกเอาเองว่าสิ่งนั้นคือสิ่งที่ดีที่สุด แล้วก็เที่ยวได้นำเอาสิ่งที่ตัวคิดว่า "ดีที่สุด" ของตัว ไปแพร่ระบาดในประเทศอื่น โดยไม่ยอมรับรู้สิ่งที่อาจจะดีกว่าในประเทศอื่น ในเวทีโลก อเมริกันจึงไม่เคยได้รับการยอมรับนับถืออย่างจริงใจ เพราะผลแห่งความวุ่นวายในทุกมุมโลกนั้น มักจะเกิดจากการกระทำ ที่นึกว่า "หวังดี" แบบอเมริกันเสมอ จนผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
เมืองไทยอาจจะโชคร้ายบ้าง โชคดีบ้าง ที่มีคนอเมริกันมาอยู่อาศัยพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวนมาก ในยามโชคดีก็ได้คนดีมาอยู่ แต่ในยามโชคร้ายก็ได้คนเลวมาอยู่ และเมื่อใดที่ได้คนเลวมาอยู่ ก็มักจะส่งผลเสียต่อประเทศและจิตใจของประชาชน คนที่เขียนหนังสือเล่มนั้น อาจจะมีพื้นฐานเลวทรามมาก่อน หรืออาจจะมีประสบการณ์ที่พบปะกับคนไม่ค่อยดีในประเทศไทยมากกว่าพบคนดี จึงทำให้ไม่เข้าใจขนบประเพณีอันดีงามที่ไม่มีในสังคมของตน จึงแปลทุกอย่างไปตามพื้นฐานของแห่งความดีความเลวของตน ด้วยทัศนคติและพื้นฐานแห่งความคิดของคนเช่นนี้ จึงยากที่จะหวังให้มองเห็นอะไรที่เป็นสิ่งดีงามในสังคมอื่นได้ ถ้าไปถามคนอาหรับในทุกมุมโลก ก็คงยากที่จะมองเห็นความดีของคนอเมริกันหรือประเทศอเมริกาได้ แม้ว่าความคิดนั้นจะแตกต่างไปจากฐานความคิดของคนอเมริกันที่เลว ๆ อยู่ก็ตาม เพราะอันที่จริงความคิดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อคนอเมริกันที่คนอาหรับมีอยู่นั้น มีสาเหตุมาจากประสบการณ์เลวร้ายที่เขาได้รับจากคนอเมริกันและรัฐบาลอเมริกัน ถ้าเข้าใจพื้นฐานของคนอเมริกันว่า ตลอดชีวิตทั้งในอดีตและปัจจุบันเขาไม่เคยมีอะไรที่เป็นรูปธรรมอันเป็นที่เคารพรักมาเลย แม้แต่แม่พ่อ ถ้ามีโอกาสจะด่าทอเพื่อให้เขาโด่งดังได้เขาก็คงทำ แม้แต่พระเจ้าที่เขาคิดว่านับถือ เขาก็ด่าทอได้อย่างสบาย แถมยังจะยอมรับนับถือคนที่ด่าทอให้เป็นที่ปลื้มเปรมกันได้ โดยไม่ต้องนับถึงการด่าทอผู้นำ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในอดีตที่มีบุญคุณหรือทำประโยชน์กับประเทศของเขาเพียงใด ถ้ามีเหตุแม้เพียงนิดเดียวที่จะทำให้หยิบฉวยมาด่าว่าได้เขาก็ทำกันมาแล้ว ถ้าเข้าใจสภาวะเช่นนี้ของเขาได้ ก็คงจะพอเข้าใจถึงพื้นฐานคนเขียนหนังสือเล่มนี้ได้
ในเวลาที่ประธานาธิบดีของเข้าสาบานตัวเข้ารับตำแหน่ง อาจจะมีผู้คนไปดูกันจำนวนมาก แต่ลองไปสังเกตดูเถอะว่า คนที่ไปดูนั้น ไม่ได้ไปดูด้วยความรักหรือเคารพบูชาอะไรทั้งสิ้น หากแต่ไปดูเพื่อจะได้นำมาอวดกับเพื่อนฝูงว่าเข้าได้มีโอกาสไปดูมาอย่างใกล้ชิดอย่างไร อันจะสร้างความสำคัญให้เกิดแก่ตัวเขา หรือแม้แต่ในเวลาที่ประธานาธิบดีของเขาไปไหนแล้วมีคนแห่กันไปรับนั้น ก็ไม่ใช่เป็นการไปรับเพื่อแสดงความรักหรือยกย่องบูชา หากแต่ไปเพื่อหาโอกาสได้สัมผัสมือ หรือพูดจาทักทาย หรือไปดูหน้า เพื่อจะได้มาอวดกันมากกว่า จึงเป็นการยากที่เขาจะเข้าใจถึงภาพที่คนไทยไปรอเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวเพื่อแสดงความจงรักภักดี ความอิ่มเอมของคนไทยนั้นอยู่ที่ได้เข้าเฝ้าเพื่อแสดงความจงรักภักดีและบูชาในคุณูปการที่พระเจ้าอยู่หัวมีต่อประเทศชาติและประชาชน เราไม่ใช่ไปรอเฝ้าเพื่อไว้อวดกันอย่างคนอเมริกัน ถ้าเขายิ่งได้มาเห็นภาพคนเรือนแสนเรือนล้านที่มารอเฝ้าที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายนก็ดี หรือผู้คนจำนวนมากที่มารอเฝ้าทั้งกลางวันกลางคืนที่โรงพยาบาลศิริราชในระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับรักษาพระองค์อยู่ที่โรงพยาบาลในขณะนี้ เขายิ่งจะไม่มีวันเข้าใจอะไรได้
เราคงทำอะไรกับคนที่เขียนหนังสือนี้ไม่ได้ นอกจากอย่าไปอ่านให้เกิดความเคืองใจ หรือถ้าอ่านแล้วก็อย่าไปเผยแพร่ ถ้ามีโอกาสว่าง ๆ รู้ที่อยู่ของคนเขียน ก็อาจจะเขียนหนังสือเฉพาะตัวไปด่าว่าตามอัธยาศัยได้ แต่การจะด่คนอเมริกันนั้นก็เป็นเรื่องยากไม่น้อยที่จะสรรหาอะไรมาด่าให้เขาเจ็บใจได้ เพราะขนาดด่าพ่อแม่ของเขา เขาก็คงไม่สะเทือนใจ เพราะเขาเองก็ไม่ใช่คนที่นับถือพ่อแม่ถึงขนาดอย่างที่เรา ๆ คนชาวเอเซียมีอยู่ เผลอ ๆ ตัวเขาเองก็ด่าว่าเป็นอาจิณอยู่แล้ว